
อาการ “ปวดหลัง” เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยที่สุดในคนวัยทำงาน บางคนปวดหลังจากการนั่งนาน บางคนมีอาการเจ็บร้าวหลังจากการยกของ หรือบางคนก็มีอาการปวดเรื้อรังจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
คำถามที่มักได้ยินจากผู้ป่วยคือ “ปวดหลังแบบนี้ควรเริ่มทำกายภาพบำบัดเมื่อไหร่?” หรือ “ต้องปวดหนักแค่ไหนถึงจะมาทำ?”
คำตอบคือ ยิ่งเริ่มต้นการดูแลที่ถูกต้องเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี และยิ่งป้องกันการเกิดอาการปวดเรื้อรังได้ดีกว่า
และบทความนี้จะอธิบายให้คุณเข้าใจว่า กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร ทำไมถึงมีความสำคัญ และจุดไหนที่เราควรเริ่มต้นดูแล
ทำไม “ปวดหลัง” ถึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
อาการปวดหลังอาจเริ่มต้นจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเพียงเล็กน้อย แต่หากเราปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุ ร่างกายจะเริ่ม “ชดเชย” ด้วยการปรับเปลี่ยนไปใช้ท่าทางที่ผิดๆ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกดทับต่อข้อต่อกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกสันหลังมากขึ้น
ผลที่ตามมาคือ
- กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานหนักเกินไป จนเกิดเป็นจุดกดเจ็บ (Trigger Point)
- หมอนรองกระดูกสันหลังต้องรับแรงกดอย่างไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนและทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขาได้
- เส้นประสาทอาจถูกกดทับจนทำให้เกิดอาการชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ดังนั้น อาการปวดหลังจึงไม่ควรถูกปล่อยให้กลายเป็นอาการเรื้อรัง เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน ระบบประสาทส่วนกลางอาจเกิดการ “จดจำความปวด” และตอบสนองต่อความเจ็บปวดได้ไวกว่าปกติ
กายภาพบำบัดช่วยคนปวดหลังได้อย่างไร
1. การวิเคราะห์หาสาเหตุอย่างเป็นระบบ
นักกายภาพบำบัดจะทำการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด เพื่อดู “กลไกของการเกิดอาการปวด” ว่ามีสาเหตุหลักมาจากโครงสร้างใด ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อ ข้อต่อ หมอนรองกระดูก หรือระบบประสาท
- อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว (Muscle Spasm/Strain)
- อาการปวดที่เกิดจากข้อต่อกระดูกสันหลังเคลื่อนไหวผิดปกติ (Facet Joint Dysfunction)
- อาการปวดร้าวที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท (Herniated Disc)
การรู้ถึงต้นเหตุของปัญหาคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดของการรักษาที่ตรงจุด เพราะ “อาการปวดหลังแต่ละแบบ ต้องใช้วิธีการแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน”
2. การลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้ออย่างปลอดภัย
ในช่วงแรกของการรักษา กายภาพบำบัดจะมุ่งเน้นไปที่การลดความเจ็บปวดและการอักเสบ โดยอาจใช้เทคนิคเฉพาะต่างๆ เหล่านี้
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น คลื่นอัลตราซาวด์ (Therapeutic Ultrasound) เพื่อช่วยลดการอักเสบในชั้นลึก
- การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Shockwave Therapy, PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) หรือ การประคบร้อน (Hot Pack) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว
- การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) เพื่อคลายกล้ามเนื้อและขยับข้อต่อที่ติดขัด
- การยืดเหยียดและการขยับข้อต่อเบาๆ (Stretching & Mobilization) เพื่อช่วยเพิ่มมุมการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
ผลที่ได้คือ อาการปวดจะค่อยๆ ลดลง ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น และกล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลาย
3. การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Strengthening)
เมื่ออาการปวดลดลงแล้ว ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญอย่างยิ่งคือ “การฟื้นฟูเสถียรภาพของหลัง”
เพราะหลังที่แข็งแรงไม่ใช่หลังที่มีกล้ามเนื้อใหญ่โต แต่คือหลังที่กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวสามารถทำงานประสานกันได้ดี
ตัวอย่างท่าบริหารพื้นฐานที่มักใช้ในคลินิกกายภาพบำบัด เช่น
- ท่า Pelvic Tilt เพื่อฝึกการเกร็งหน้าท้องเบาๆ และควบคุมกระดูกเชิงกราน
- ท่า Bridge เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก้นและหลังส่วนล่าง
- ท่า Bird Dog เพื่อฝึกความสมดุลและการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำตัว
- ท่า Dead Bug เพื่อฝึกให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวคงที่ในขณะที่แขนและขาขยับ
ท่าบริหารเหล่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลัง ท้อง และสะโพก ทำงานร่วมกันได้อย่างสมดุล ซึ่งจะช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลังในชีวิตประจำวันได้
4. การฝึกท่าทางการใช้ชีวิตจริง (Postural Retraining)
หนึ่งในจุดแข็งของกายภาพบำบัดคือการ “สอนให้ร่างกายกลับไปใช้ท่าทางที่ถูกต้อง” ในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น
- ท่านั่งทำงานที่ถูกต้องที่หลังไม่งอและไหล่ไม่ห่อ
- วิธีลุกจากเตียงนอนโดยไม่ทำให้เกิดการบิดของหลัง
- ท่ายกของที่ถูกต้องโดยใช้แรงจากขา ไม่ใช่จากหลัง
เพราะต่อให้รักษาจนอาการดีขึ้นแค่ไหน แต่หากผู้ป่วยยังกลับไปนั่งหลังงอเหมือนเดิม อาการปวดก็จะวนกลับมาได้อีก
5. การป้องกันการปวดซ้ำในอนาคต
เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรงขึ้น นักกายภาพบำบัดจะช่วยวางแผน “โปรแกรมการดูแลตนเองในระยะยาว” เช่น
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องอย่างต่อเนื่อง
- การยืดกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาเป็นประจำ
- การแนะนำการจัดท่าทางโต๊ะทำงานให้เหมาะสมกับสรีระ (Ergonomics)
- การใช้หลัก “ขยับร่างกายทุกๆ 30-60 นาที” เพื่อลดแรงกดทับที่หลังซ้ำๆ
เป้าหมายสำคัญไม่ใช่แค่การหายจากอาการปวด แต่คือการ “กลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้น โดยลดความกังวลว่าหลังจะกลับไปเจ็บอีก”
แล้วเมื่อไหร่ควรเริ่มทำกายภาพบำบัด?
โดยทั่วไป หากคุณมีอาการปวดหลัง
- ที่นานเกิน 3–5 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
- หรือเริ่มมีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรง
คุณควรเข้ารับการตรวจประเมินจากนักกายภาพบำบัดทันที
ในกรณีที่เป็น “อาการปวดเฉียบพลัน” (เช่น หลังจากการยกของแล้วปวดทันที) กายภาพบำบัดจะช่วยลดการอักเสบได้ดี และฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น
ส่วนในผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังมานาน กายภาพบำบัดจะช่วย “รีเซ็ต” ระบบกล้ามเนื้อที่ทำงานผิดปกติ และสอนให้ร่างกายกลับมาใช้งานอย่างถูกวิธีอีกครั้ง
ยิ่งเริ่มต้นการรักษาที่ถูกต้องเร็ว ร่างกายก็ยิ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี และป้องกันการเกิดอาการเรื้อรังได้ดีที่สุด
สัญญาณเตือนที่ควรพบผู้เชี่ยวชาญทันที (Red Flag Signs)
- ปวดร้าวลงขา หรือมีอาการชาที่ขา
- ปวดหลังร่วมกับมีไข้ น้ำหนักลด หรืออ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดมากในตอนกลางคืนจนต้องตื่น
- ปวดหลังอย่างรุนแรงหลังการเกิดอุบัติเหตุ
อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะที่มากกว่าแค่กล้ามเนื้ออักเสบ เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือการติดเชื้อ ซึ่งต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนเริ่มการฟื้นฟู
ฟื้นฟูหลังให้กลับมาแข็งแรง ด้วยทีมนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ
ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีโปรแกรมการตรวจประเมินและฟื้นฟูอาการปวดหลังที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยปวดเฉียบพลันและปวดเรื้อรัง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยลดอาการปวด เช่น PMS, Shockwave และโปรแกรมการเสริมสร้างความแข็งแรงอย่างปลอดภัย ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ปรึกษาและจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista
เพราะ “หลังของคุณ” คือศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวทั้งหมด เริ่มดูแลตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการปวดกลับมารบกวนคุณอีก