การประเมินระยะข้อเข่าเสื่อม (Kellgren–Lawrence Grade) เมื่อไหร่ควรพบแพทย์หรือทำกายภาพบำบัด

การประเมินระยะข้อเข่าเสื่อม (Kellgren–Lawrence Grade) เมื่อไหร่ควรพบแพทย์หรือทำกายภาพบำบัด

หลายคนยังมองว่า “โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นเรื่องไกลตัวและเป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น

แต่ในปัจจุบัน เราพบว่าคนในวัยทำงานช่วงอายุ 20–40 ปี เริ่มมีอาการเจ็บเข่า ปวดเข่าขณะเดินขึ้นลงบันได หรือรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้างเข่าหลังจากการวิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในบางรายเมื่อตรวจอย่างละเอียดกลับพบสัญญาณของข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร

    คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับเข่าของคนวัยหนุ่มสาวในยุคนี้?

    คำตอบไม่ได้มีแค่เรื่องของการ “ใช้งานหนักเกินไป” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของชีวกลศาสตร์ในร่างกาย การอักเสบในระดับเซลล์ น้ำหนักตัว ความสมดุลของกล้ามเนื้อ และไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เนื้อเยื่อในข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

    บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจแบบไม่ซับซ้อน แต่เจาะลึกถึงกลไกที่ทำให้ในยุคนี้ “ข้อเข่าเสื่อม” ไม่ใช่โรคของคนแก่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

    ข้อเข่าเสื่อมไม่ใช่แค่ “กระดูกสึก” อย่างที่หลายคนคิด

    แท้จริงแล้ว โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือ “กระบวนการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อ (Chronic Joint Inflammation)” ที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต่างๆ ดังนี้

    • กระดูกอ่อนผิวข้อ ถูกทำลายและบางลง
    • กระดูกใต้กระดูกอ่อน มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและแข็งตัวขึ้น
    • เยื่อหุ้มข้อ มีการอักเสบและสร้างน้ำในเข่าเพิ่มขึ้น
    • เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบเข่า ทำงานไม่สมดุลและขาดความมั่นคง

      ดังนั้น โรคนี้จึงเป็นภาวะที่ค่อยๆ พัฒนา ไม่ได้เกิดจากการใช้งานหนักเพียงครั้งเดียว แต่เกิดจาก “การสะสมของแรงกดที่ผิดธรรมชาติ” ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

      ทำไมข้อเข่าเสื่อมถึงพบมากขึ้นในคนวัย 20–40 ปี?

      1. น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ แม้อายุยังน้อย

      ตามหลักชีวกลศาสตร์ น้ำหนักตัวทุกๆ 1 กิโลกรัมที่เพิ่มขึ้น จะเท่ากับแรงกดที่เข่าต้องรับตอนเดินประมาณ 3–6 เท่า และอาจเพิ่มเป็น 8 เท่าขณะเดินขึ้นลงบันได

      ดังนั้น คนอายุ 25 ปี ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัมภายในเวลาไม่กี่ปี ข้อเข่าจะต้องรับภาระเพิ่มขึ้นเทียบเท่ากับแบกน้ำหนัก 30–60 กิโลกรัมในทุกก้าวที่เดิน ส่งผลให้กระดูกอ่อนสึกหรอเร็ว เกิดการอักเสบซ้ำๆ และมีอาการเจ็บเข่าเวลาใช้งานหนัก

      2. การออกกำลังกายผิดเทคนิค ทั้งที่ตั้งใจดูแลสุขภาพ

      คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการเข้าฟิตเนส วิ่งมาราธอน หรือออกกำลังกายแบบ HIIT กันมากขึ้น แต่หลายคนเริ่มโดยไม่มีการประเมินโครงสร้างร่างกายก่อน เช่น

      • กล้ามเนื้อสะโพกอ่อนแรง ทำให้หัวเข่าบิดเข้าด้านในขณะลงน้ำหนัก (Knee Valgus)
      • ภาวะเท้าแบน ทำให้แนวแรงที่กระทำต่อเข่าเอียงไปด้านในมากกว่าปกติ
      • กล้ามเนื้อสะบักและลำตัวไม่มั่นคง ส่งผลให้ท่าทางการวิ่งผิดเพี้ยนไปโดยไม่รู้ตัว

       เมื่อโครงสร้างร่างกายยังไม่พร้อม แต่มีการเพิ่มความหนักของการออกกำลังกายที่เร็วเกินไป จึงกลายเป็นกลไกที่เร่งให้ข้อเข่าพังในระยะยาว

      3. พฤติกรรมนั่งนานหรือยืนนานจนกล้ามเนื้อไม่สมดุล

      การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การนั่งรถนานๆ หรืออาชีพที่ต้องยืนต่อเนื่อง ส่งผลเสียต่อระบบกล้ามเนื้อ

      • กล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) เกิดการเกร็งค้างและตึงตัว
      • กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteus Muscles) เกิดภาวะอ่อนแรงจากการไม่ได้ใช้งาน
      • เส้นเอ็นรอบเข่า ขาดความยืดหยุ่น

       ความไม่สมดุลเหล่านี้ทำให้แรงกระแทกขณะเคลื่อนไหวถูกส่งไปที่ข้อเข่าโดยตรงแทนที่จะถูกกล้ามเนื้อช่วยดูดซับ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนทำงานออฟฟิศถึงมีอาการปวดเข่าได้ ทั้งที่ไม่ได้เล่นกีฬาหนักเลย

      4. ประวัติการเกิดอุบัติเหตุหรือเคยเจ็บเข่ามาก่อน

      การบาดเจ็บในอดีต เช่น เอ็นไขว้หน้าฉีก (ACL Injury) หมอนรองกระดูกเข่าฉีก (Meniscus Tear) หรือกระดูกสะบ้าเคยเคลื่อนหลุด จะเพิ่มโอกาสการเกิดข้อเข่าเสื่อมเร็วกว่าคนปกติถึง 3–7 เท่า

      เพราะถึงแม้จะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ “ความมั่นคงของข้อต่อ” อาจไม่กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม และรูปแบบการลงน้ำหนักอาจเปลี่ยนไปตลอดเวลา

        5. การอักเสบระดับเซลล์จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Systemic Inflammation)

        พฤติกรรมเช่น การรับประทานอาหารหวานจัด อาหารไขมันสูง การนอนดึก ความเครียดสะสม และการไม่ออกกำลังกาย ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย

        การอักเสบนี้จะส่งผลให้คุณภาพของกระดูกอ่อนลดลง เยื่อหุ้มข้อไวต่อการกระตุ้น และฟื้นตัวได้ช้าหลังการใช้งานหนัก ทำให้คนอายุ 30 ปีบางคนมีสภาพข้อเข่าที่เสื่อมสภาพคล้ายกับผู้สูงอายุ

        6. อาชีพที่ต้องย่อตัว คุกเข่า หรือยกของหนักเป็นประจำ

        อาชีพอย่างเช่น ช่างฝีมือ ครูอนุบาลที่ต้องก้มๆ เงยๆ พนักงานโรงงาน พนักงานยกของ หรือเกษตรกรที่ต้องนั่งยองๆ ท่าทางเหล่านี้ทำให้เกิดแรงกดภายในข้อเข่าสูงกว่าปกติหลายเท่า และเพิ่มความเสี่ยงให้ข้อเสื่อมก่อนวัย

        อาการข้อเข่าเสื่อมในคนวัยหนุ่มสาวสังเกตได้อย่างไร?

        แม้จะยังไม่เห็นความเสื่อมชัดเจนเหมือนในผู้สูงอายุ แต่สัญญาณเริ่มต้นมักมีดังนี้

        • ปวดเข่าจากการขึ้นลงบันได
        • ปวดบริเวณหน้าเข่าหรือรอบลูกสะบ้าเมื่อนั่งงอเข่านานๆ
        • ข้อเข่ามีเสียงดังกรอบแกรบ” เวลาขยับหรือเหยียดขา
        • วิ่งแล้วรู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านหน้าหรือด้านในของเข่า
        • มีอาการเข่าบวมตึงหลังจากออกกำลังกาย
        • รู้สึกว่าเข่าไม่มั่นคง หรือรู้สึกเหมือนเข่าจะหลุดง่าย

         อาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนเริ่มต้นของการเสื่อมสภาพในระดับเนื้อเยื่อที่ไม่ควรมองข้าม

        วิธีป้องกันข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย

        1.  เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพกและแกนกลางลำตัว
        2. เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่ส่งไปถึงเข่าโดยตรง ท่าบริหารที่แนะนำ เช่น Glute Bridge, Clamshell, Step Down และ Dead Bug
        3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
        4. เป็นวิธีที่ช่วยลดแรงกดทับที่ข้อเข่าในระยะยาวได้ดีที่สุด
        5. ตรวจเช็กท่าทางการเดินและการวิ่ง
        6. เพื่อแก้ไขจุดที่ทำให้เข่ารับแรงผิดปกติ และปรับปรุงท่าทางให้เหมาะสม
        7. เลือกการออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป (Progressive Overload)
        8. ควรเพิ่มความหนักหรือระยะทางทีละน้อย ประมาณ 10–15% ต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวทัน
        9. เสริมความแข็งแรงรอบเข่าอย่างสมดุล
        10. เน้นฝึกกล้ามเนื้อทั้งส่วนหน้าขา (Quadriceps) หลังขา (Hamstrings) และน่อง (Calf Muscles) ให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นพอดีกัน

        เมื่อไหร่ควรเข้ารับการประเมินทางกายภาพบำบัด

        • มีอาการปวดเข่าเรื้อรังนานเกิน 2–4 สัปดาห์
        • รู้สึกเจ็บเฉพาะเวลาออกแรง เช่น ขณะวิ่ง หรือขึ้นบันได
        • มีอาการเข่าบวมซ้ำๆ
        • มีประวัติเคยบาดเจ็บที่เข่ามาก่อน
        • รู้สึกว่าเข่ามีการหมุนเข้าหรือออกผิดปกติขณะเคลื่อนไหว

        การเข้ารับการประเมินจะช่วยค้นหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น ภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล สะโพกอ่อนแรง หรือแนวขาผิดรูป ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าตนเองมี

        ข้อเข่าเสื่อมในคนวัยหนุ่มสาวเกิดจากการผสมผสานกันของหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการนั่งนาน การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม น้ำหนักตัวเกิน อุบัติเหตุในอดีต และภาวะอักเสบในร่างกาย การรู้ทันสาเหตุและเริ่มปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ จะช่วยลดโอกาสการเจ็บเข่าเรื้อรังและช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าให้ยาวนานขึ้น

        ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีโปรแกรมการตรวจประเมินข้อเข่า แนวขา และโครงสร้างร่างกายอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการฟื้นฟูและรักษาข้อเข่าเสื่อมเฉพาะบุคคลสำหรับคนวัยทำงานและนักกีฬา ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี

        ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @zenista

        บริการแนะนำ

        กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

        กายภาพบำบัด

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

        รักษาข้อเข่าเสื่อม

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

        รักษาออฟฟิศซินโดรม

        รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง