
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ และกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว ผู้ที่เป็นข้อเข่าเสื่อมมักต้องเผชิญกับปัญหาอาการปวดเข่า บวม ข้อฝืดตึง เดินได้ลำบาก หรือแม้กระทั่งสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน หลายท่านจึงมีคำถามว่า “การรักษาข้อเข่าเสื่อม ปัจจุบันมีวิธีไหนบ้าง?” เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
เป้าหมายสำคัญของการรักษาข้อเข่าเสื่อม
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ แม้ว่ากระดูกอ่อนผิวข้อที่ได้สึกหรอและถูกทำลายไปแล้วจะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมได้ แต่เป้าหมายของการรักษานั้นไม่ใช่การ “ทำให้หายขาด” เพียงอย่างเดียว แต่คือการมุ่งเน้นในเรื่องต่อไปนี้
- การลดอาการปวดและการอักเสบ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น
- การฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทำงานของข้อเข่าให้กลับมาใช้งานได้ดีที่สุด
- การป้องกันและชะลอไม่ให้ข้อเสื่อมมากขึ้น
- การรักษาระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอิสระในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
การรักษาข้อเข่าเสื่อม ปัจจุบันมีวิธีไหนบ้าง?
แนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ซึ่งแพทย์และนักกายภาพบำบัดจะพิจารณาเลือกใช้ตามความรุนแรงของโรค สภาพร่างกาย และเป้าหมายของผู้ป่วยแต่ละราย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 แนวทางหลักๆ ดังนี้
1. การรักษาแบบไม่ใช้ยา (Non-pharmacological Treatment)
แนวทางนี้ถือเป็น “รากฐาน” ที่สำคัญที่สุดของการรักษาและมักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาวเมื่อทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
- การทำกายภาพบำบัด เป็นหัวใจหลักของการรักษาแบบไม่ใช้ยา โดยจะเน้นการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก การฝึกการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องเพื่อลดแรงกดบนข้อเข่า และการใช้เทคนิคการรักษาด้วยมือและเครื่องมือต่างๆ
- การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ โยคะ หรือการเดินในน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำแต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ดี
- การลดน้ำหนัก มีข้อมูลว่าน้ำหนักตัวทุกๆ 1 กิโลกรัมที่ลดลงได้ จะช่วยลดแรงกดที่กระทำต่อข้อเข่าลงได้ประมาณ 3–4 กิโลกรัมในขณะเดิน
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควรหลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ การนั่งยองๆ หรือการคุกเข่าเป็นเวลานาน
- การใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น การใส่สนับเข่าเพื่อเพิ่มความมั่นคง การใช้ไม้เท้าเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ หรือการเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองรับแรงกระแทกได้ดี
2. การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment)
การใช้ยามีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและควบคุมการอักเสบ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการกำเริบรุนแรง
- ยาแก้ปวด (Paracetamol) มักใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดในระดับเล็กน้อย
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Ibuprofen หรือ Naproxen มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและการอักเสบ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไต
- ยาช่วยบำรุงข้อ (Glucosamine, Chondroitin) มีงานวิจัยบางชิ้นที่สนับสนุนว่าอาจช่วยชะลอการเสื่อมและลดอาการปวดในผู้ป่วยบางรายได้ แต่ผลลัพธ์ยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- การฉีดยาเข้าข้อ
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ช่วยลดการอักเสบเฉียบพลันได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรฉีดบ่อยครั้งจนเกินไป
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือ "น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม" ช่วยเพิ่มความหล่อลื่นและลดแรงเสียดสีในข้อ ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น
3. การรักษาด้วยหัตถการและเทคโนโลยีใหม่
- การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma - PRP) เป็นการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นที่ได้จากเลือดของผู้ป่วยเอง ฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าเพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ
- การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Therapy) มีงานวิจัยบางชิ้นที่พบว่าอาจช่วยชะลอการเสื่อมและลดอาการปวดได้ แต่ยังถือเป็นการรักษาที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
- การทำ Shockwave Therapy หรือเลเซอร์บำบัด เป็นเทคนิคทางกายภาพบำบัดที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการปวดเรื้อรัง และฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
4. การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment)
การผ่าตัดจะถูกพิจารณาใช้เมื่อวิธีการรักษาอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้ผล หรือในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างหนัก
- การผ่าตัดส่องกล้องข้อเข่า (Arthroscopy) เพื่อเข้าไปล้างข้อ หรือนำเอาเศษกระดูกอ่อนหรือกระดูกงอกที่แตกหลุดออกมา ซึ่งอาจช่วยลดอาการขัดในข้อได้
- การผ่าตัดจัดแนวกระดูกใหม่ (Osteotomy) เพื่อปรับแนวของกระดูกให้มีการกระจายน้ำหนักในข้อเข่าที่ดีขึ้น มักเหมาะกับผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีลักษณะขาโก่ง
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement) เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมในขั้นรุนแรงจนกระดูกอ่อนสึกหายไปเกือบทั้งหมด การผ่าตัดนี้สามารถช่วยลดอาการปวดและคืนการเคลื่อนไหวให้ผู้ป่วยได้อย่างมาก
สิ่งที่ผู้ป่วยควรรู้ก่อนเลือกวิธีรักษา
- โรคข้อเข่าเสื่อมไม่มีวิธีใดที่ทำให้รักษาหายขาด 100% ได้ แต่ทุกวิธีการรักษาล้วนมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
- ควรเริ่มต้นจากวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและมีความเสี่ยงน้อยที่สุดก่อนเสมอ เช่น การทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ยาหรือการฉีดยาควรใช้เป็นตัวเสริมในการควบคุมอาการ ไม่ใช่วิธีการรักษาหลักในระยะยาว
- การผ่าตัดถือเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” เมื่อวิธีการรักษาอื่นๆ ไม่สามารถบรรเทาอาการได้แล้วจริงๆ
คำถามที่ว่า “การรักษาข้อเข่าเสื่อม ปัจจุบันมีวิธีไหนบ้าง?” คำตอบคือ มีตั้งแต่การดูแลตนเอง การทำกายภาพบำบัด การใช้ยาและการฉีดยา เทคโนโลยีการฟื้นฟูใหม่ๆ ไปจนถึงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับระยะของโรคและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดเป็นผู้ช่วยในการตรวจประเมินและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล
หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับภาวะข้อเข่าเสื่อม อย่าปล่อยให้อาการปวดรบกวนการใช้ชีวิต ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด ทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดของเราพร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การตรวจประเมินอาการ การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อการรักษา ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการรักษา ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista