
หลายคนมักคิดว่า “โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันพบผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมในวัย 30–40 ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่นั่งทำงานนาน ออกกำลังกายหนัก หรือเคยมีประวัติการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
ในฐานะนักกายภาพบำบัด เราพบว่าข้อเข่าเสื่อมในคนอายุน้อยมักไม่ได้มีสาเหตุมาจากอายุเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรมซ้ำๆ" ที่สร้างแรงกดดันที่ผิดธรรมชาติให้กับข้อเข่า จนกระทั่งกระดูกอ่อนผิวข้อเริ่มสึกหรอก่อนวัย และที่สำคัญคือ หากคุณรู้ทัน “สัญญาณเตือนแรกๆ” คุณสามารถชะลอหรือป้องกันภาวะนี้ได้ตั้งแต่ตอนนี้
ข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือภาวะที่ “กระดูกอ่อนผิวข้อ” ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการรองรับแรงกระแทกและช่วยให้ข้อเข่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล ถูกทำลายหรือสึกหรอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกระดูกอ่อนบางลงหรือสึกกร่อนไป แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการเดินหรือวิ่งจะถูกถ่ายเทโดยตรงเข้าสู่กระดูกใต้ผิวข้อ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม และทำให้การเคลื่อนไหวติดขัดได้
กระบวนการเสื่อมนี้อาจเริ่มต้นจาก “การบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ” (Microtrauma) ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ การยกของหนัก หรือการวิ่งและการกระโดดที่มีแรงกระแทกสูงโดยไม่มีช่วงเวลาพักฟื้นที่เพียงพอ
ข้อเข่าเสื่อมในคนอายุน้อยเกิดจากอะไร?
ในวัยทำงานหรือวัยที่ยังออกกำลังกายเป็นประจำ สาเหตุหลักๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้
- แรงกระแทกซ้ำๆ ต่อข้อเข่า (Repetitive Impact)
กิจกรรมที่ต้องมีการลงน้ำหนักที่ข้อเข่าบ่อยๆ เช่น การวิ่งบนพื้นคอนกรีตแข็งๆ การกระโดดสูงซ้ำๆ ในกีฬาอย่างบาสเกตบอลหรือวอลเลย์บอล หรือการออกกำลังกายที่หนักเกินไปโดยไม่มีวันพัก อาจทำให้กระดูกอ่อนข้อเข่าต้องรับแรงมากเกินกว่าที่จะทนไหวจนเริ่มสึกหรอได้ - ภาวะกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าไม่สมดุล (Muscle Imbalance)
เช่น ภาวะที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) มีความแข็งแรงหรือตึงตัวมากกว่ากล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring) ซึ่งจะทำให้แรงดึงต่อกระดูกลูกสะบ้าและข้อเข่าไม่สมดุล ส่งผลให้เกิดแรงเสียดสีที่มากขึ้นในทุกๆ ครั้งที่มีการงอและเหยียดเข่า - ประวัติอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บเก่าในข้อเข่า
เช่น การฉีกขาดของเส้นเอ็นไขว้หน้า (ACL Injury) หรือการฉีกขาดของหมอนรองข้อเข่า (Meniscus Tear) ที่อาจไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างถูกวิธี ส่งผลให้ความมั่นคงของข้อเข่าลดลง (Joint Instability) และทำให้กระดูกอ่อนต้องรับภาระหนักขึ้นจนเสื่อมเร็วกว่าปกติ - น้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์ (Overload)
น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดที่กระทำต่อข้อเข่าโดยตรง มีข้อมูลว่าทุกๆ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักตัวที่เกินมา จะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่าในขณะเดินปกติถึง 3–4 กิโลกรัม - ท่าทางการใช้งานข้อเข่าที่ผิดซ้ำๆ
เช่น การนั่งพับเพียบ การนั่งยองๆ การนั่งขัดสมาธิ หรือการนั่งพื้นเป็นเวลานานๆ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนสร้างแรงอัดต่อข้อเข่าและกระดูกอ่อนอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
สัญญาณเตือนของข้อเข่าเสื่อมที่ไม่ควรมองข้าม
โรคข้อเข่าเสื่อมในระยะแรกเริ่มมักไม่แสดงอาการที่รุนแรง ทำให้หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียง “อาการปวดจากการใช้งานมากไป” แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีสัญญาณเล็กๆ ที่ควรสังเกตดังนี้
- อาการปวดลึกๆ ในข้อเข่า โดยเฉพาะเวลาที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น การขึ้นลงบันได หรือขณะลุกขึ้นจากท่านั่งนานๆ
- มีเสียง “กรอบแกรบ” หรือเสียงลั่นในข้อเข่าเวลาเคลื่อนไหว งอ หรือเหยียดเข่า ซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวข้อที่ไม่เรียบ
- รู้สึกว่าข้อเข่าตึงๆ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน (Morning Stiffness) หรือหลังจากที่นั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อได้ขยับไปสักพัก
- รู้สึก “เข่าล้า” หรือรู้สึกว่าเข่าไม่มีแรง หลังจากที่ต้องเดินในระยะทางไกลๆ หรือยืนต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ในบางรายอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือรู้สึกอุ่นๆ รอบข้อเข่า ซึ่งเป็นสัญญาณของการอักเสบภายในข้อ
หากคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจประเมินโดยนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ก่อนที่อาการจะลุกลาม
กลไกการเสื่อมในมุมมองของนักกายภาพบำบัด
ข้อเข่าของเรานั้นทำงานร่วมกันระหว่างกระดูกต้นขา (Femur) กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) และกระดูกสะบ้า (Patella) โดยมีกล้ามเนื้อรอบๆ ที่ต้องทำงานประสานกันเพื่อช่วยกระจายแรง แต่หากมีกล้ามเนื้อบางมัดที่สำคัญเกิดการอ่อนแรง เช่น
- กล้ามเนื้อ Vastus Medialis Oblique (VMO) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อต้นขาด้านในมัดเล็กที่ช่วยพยุงลูกสะบ้าให้เคลื่อนไปในแนวทางที่ถูกต้อง
- กล้ามเนื้อ Gluteus Medius ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกที่ช่วยควบคุมการบิดของขาในขณะที่ลงน้ำหนัก
เมื่อกล้ามเนื้อสองกลุ่มนี้อ่อนแรงลง อาจทำให้ลูกสะบ้าถูกดึงออกไปทางด้านนอกได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้แรงกดบนกระดูกอ่อนในบางจุดมีมากกว่าปกติ และเกิดการสึกหรอเฉพาะจุดขึ้นได้ในระยะยาว
การดูแลและป้องกันข้อเข่าเสื่อมในวัยทำงาน
1. เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและสะโพก
- Quad Sets นั่งเหยียดขาตรง หรือนอนหงาย แล้วเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำซ้ำ 10–15 ครั้ง
- Straight Leg Raise นอนหงาย เหยียดขาตรง เกร็งต้นขาแล้วค่อยๆ ยกขาขึ้นสูงประมาณ 30 ซม. ค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อยๆ วางลง
- Glute Bridge นอนหงาย ชันเข่าขึ้น แล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น ค้างไว้ 3-5 วินาที เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพกและหลังขา
2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง
ควรเปลี่ยนจากการวิ่งบนพื้นแข็งเป็นการเดินเร็ว การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยานแทน ซึ่งจะช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าได้
3. ควบคุมน้ำหนักตัว
การลดน้ำหนักเพียง 5% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น สามารถช่วยลดแรงกดที่กระทำต่อข้อเข่าและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนั่ง
หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ การนั่งยองๆ หรือการนั่งพื้นเป็นเวลานานๆ เพราะจะเพิ่มแรงอัดในข้อเข่ามากกว่าท่ายืนถึง 3 เท่า
5. ยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring) กล้ามเนื้อน่อง (Gastrocnemius) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) เพื่อให้ข้อเข่าสามารถเคลื่อนไหวได้เต็มช่วงและไม่ถูกดึงรั้งจากกล้ามเนื้อที่ตึงตัว
เมื่อไหร่ควรพบผู้เชี่ยวชาญ
- เมื่อมีอาการปวดเข่าเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์
- มีอาการปวดที่รุนแรงขึ้นอย่างชัดเจนเวลาเดินหรือขึ้นลงบันได
- รู้สึกว่าขาอ่อนแรง หรือมีเสียงในข้อเข่าที่ชัดเจน
- มีประวัติการบาดเจ็บเก่าๆ ที่ข้อเข่า
นักกายภาพบำบัดสามารถช่วยตรวจประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่อ และการลงน้ำหนักที่ผิดปกติได้ พร้อมทั้งวางแผนการฟื้นฟูที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เช่น การฝึกฟื้นฟูกล้ามเนื้อ VMO การปรับแนวการเคลื่อนไหวของสะโพกและเข่า และการใช้เทคนิคคลายข้อต่อ (Joint Mobilization)
หากคุณเริ่มมีอาการปวดเข่า หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด ทีมนักกายภาพบำบัดของเราพร้อมตรวจประเมินการเคลื่อนไหว วิเคราะห์กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง และจัดโปรแกรมการฟื้นฟูที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้อเข่าของคุณกลับมาแข็งแรงและใช้งานได้อย่างมั่นใจ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ปรึกษาและจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista