
อาการปวดหลังเรื้อรังมักเกิดขึ้นแบบ “ไม่รู้ตัว” จากท่านั่ง ท่ายืน หรือวิธีใช้ร่างกายซ้ำๆ จนกล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานหนักเกินความจำเป็น ในขณะที่อีกหลายมัดแทบไม่ได้ถูกใช้งานเลย
หนึ่งในระบบที่มักเสียสมดุลมากที่สุดและเป็นรากฐานสำคัญของร่างกาย คือ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ช่วยพยุงกระดูกสันหลังให้มีความมั่นคง
เมื่อกล้ามเนื้อแกนกลางอ่อนแรง กระดูกสันหลังจะขาดการพยุงที่เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างต้องเข้ามารับภาระหนักเกินไปจนเกิดอาการ “ปวดหลังเรื้อรัง” ที่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็มักจะกลับมาเป็นซ้ำ หรือหายไม่ขาดสักที
บทความนี้จะอธิบายให้ชัดเจนว่าทำไมการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผู้ป่วยปวดหลังเรื้อรังได้จริง และควรเริ่มต้นอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผล
กล้ามเนื้อแกนกลางคืออะไร? ไม่ใช่แค่กล้ามท้อง (Six Pack)
หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า กล้ามเนื้อแกนกลาง หมายถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นลอนสวยหรือซิกแพ็กเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กล้ามเนื้อแกนกลางคือระบบการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อ 4 กลุ่มหลักที่เปรียบเสมือน "กล่อง" ที่ห่อหุ้มและพยุงกระดูกสันหลังไว้
- Transversus Abdominis (TrA)
- เป็นกล้ามเนื้อชั้นลึกที่สุดในหน้าท้อง ทำหน้าที่เหมือน “เข็มขัดรัดเอวตามธรรมชาติ (Natural Corset)”
- ถ้าอ่อนแรง = กระดูกสันหลังจะขาดความมั่นคงและเคลื่อนตัวมากเกินไป นำไปสู่อาการปวดหลัง
- Multifidus
- เป็นกล้ามเนื้อชิ้นเล็กๆ ที่เกาะชิดกับข้อต่อกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่ให้ความมั่นคงในทุกๆ ครั้งที่เราขยับตัว
- ถ้าไม่ทำงาน = จะเกิดความไม่มั่นคงระดับข้อต่อย่อย (Micro-instability) ทำให้มีอาการปวดลึกๆ หรือปวดแบบจี๊ดๆ
- Diaphragm (กระบังลม) และ Pelvic Floor (กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน)
- สองกลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็น "ฝาปิดด้านบน" และ "พื้นด้านล่าง" ของกล่องแกนกลาง ทำงานประสานกับ TrA เพื่อควบคุมความดันภายในช่องท้อง (Intra-abdominal Pressure)
ทำงานดี = กระดูกสันหลังจะนิ่งและมั่นคง
ทำงานแย่ = จะเกิดอาการหลังล้าเรื้อรังและขาดการทรงตัวที่ดี
เพราะฉะนั้น กล้ามเนื้อแกนกลาง = ระบบการทำงานเป็นทีม (Teamwork) ไม่ใช่การทำงานของกล้ามเนื้อเพียงมัดใดมัดหนึ่ง
ทำไมคนปวดหลังเรื้อรังถึงจำเป็นต้องฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง?
เพราะ “ความไม่มั่นคง (Instability)” ของกระดูกสันหลังเป็นสาเหตุหลักที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของอาการปวดหลังเรื้อรัง
1. หลังส่วนล่างต้องทำงานชดเชยแทนกล้ามเนื้อแกนกลาง
เมื่อกล้ามเนื้อ TrA และ Multifidus ไม่ทำงาน
- กล้ามเนื้อหลังส่วนตื้น (เช่น Erector Spinae) จะต้องเข้ามารับงานหนักแทนเพื่อพยุงหลัง
- เกิดการเกร็งตัวสะสมและการใช้งานเกินกำลัง (Muscle Overuse)
- ส่งผลให้เกิดอาการปวดตึงและเมื่อยล้ามากขึ้นในทุกๆ วัน
2. หมอนรองกระดูกสันหลังถูกกดทับมากขึ้น
เมื่อความมั่นคงของแกนกลางลดลง
- กระดูกสันหลังจะเคลื่อนไหวหรือบิดตัวในแนวที่ไม่ถูกต้องได้ง่าย
- แรงกระแทกจะถูกส่งผ่านไปยังหมอนรองกระดูกอย่างไม่สม่ำเสมอ
- นำไปสู่ความเสี่ยงของภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วกว่าปกติ
3. เกิดท่าทางที่ผิดปกติ (Postural Dysfunction)
กล้ามเนื้อแกนกลางที่อ่อนแรงทำให้ร่างกายไม่สามารถรักษาท่าทางที่ถูกต้องได้ ส่งผลให้เกิด
- ภาวะหลังแอ่นมากเกินไป (Hyperlordosis)
- การทรงตัวที่ไม่ดีเวลาเดินหรือยกของ
- อาการปวดหลังเมื่อต้องยืนหรือนั่งทำงานเป็นเวลานาน
4. อาการปวดเอ็นและข้อต่อจากการรับน้ำหนักผิดจุด
เมื่อหลังส่วนล่างต้องรับภาระแทนกล้ามเนื้อแกนกลางนานๆ เอ็นยึดรอบกระดูกสันหลังจะถูกดึงรั้งจนเกิดการอักเสบ ทำให้
- มีอาการปวดเรื้อรัง
- รู้สึกขัดๆ หรือเจ็บเวลาลุกนั่ง
- ในตอนเช้าหลังตื่นนอน มักจะรู้สึกว่าหลังตึงและแข็ง
มีงานวิจัยสนับสนุนอย่างไรบ้าง?
งานวิจัยทางด้านกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การกีฬายืนยันตรงกันว่า
ผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังที่ได้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6–8 สัปดาห์
- มีระดับความปวดลดลงอย่างชัดเจน
- ความมั่นคงของลำตัวและการทรงตัวดีขึ้น
- สามารถกลับมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การฝึกกระตุ้นกล้ามเนื้อ Multifidus อย่างเฉพาะเจาะจง ยังช่วยลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำของอาการปวดหลังได้ดีกว่าโปรแกรมการออกกำลังกายทั่วไปอีกด้วย
ฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางไม่ใช่การซิทอัพ! แล้วต้องทำยังไง?
การฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางที่ถูกต้องและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยปวดหลัง ต้องเน้นที่การทำให้
- ลำตัวนิ่ง (Stability)
- กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ถูกต้อง (Neutral Spine)
- เน้นการควบคุม (Control) มากกว่าการใช้แรงเยอะๆ
1. Abdominal Bracing (การเกร็งหน้าท้อง)
เป็นท่าพื้นฐานที่สุดที่ใช้ฝึกการรับรู้และกระตุ้นกล้ามเนื้อแกนกลางก่อนเริ่มโปรแกรมอื่นๆ
- วิธีทำ: นอนหงาย ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง หายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกพร้อมกับแขม่วท้องหรือเกร็งหน้าท้องลึกๆ ให้รู้สึกเหมือนกำลังรัดเข็มขัดรอบเอวให้แน่น โดยไม่กลั้นหายใจ
- เป้าหมาย: ค้างไว้ 5–10 วินาที ทำ 10–15 ครั้ง
2. Dead Bug
ช่วยฝึกการทำงานประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องลึก (TrA) และกล้ามเนื้อหลัง (Multifidus) ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวแขนขา
- วิธีทำ: นอนหงาย ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นตั้งฉากกับพื้น และยกขาขึ้นงอเข่าและสะโพกเป็นมุม 90 องศา จากนั้นค่อยๆ เหยียดแขนขวาไปด้านหลังศีรษะพร้อมกับเหยียดขาซ้ายออกไปด้านหน้าช้าๆ แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น สลับข้าง
- ข้อควรระวัง: ต้องคุมหลังส่วนล่างให้แนบติดพื้นตลอดเวลา ไม่ให้หลังแอ่นลอยขึ้นมา
- เป้าหมาย: ทำข้างละ 10–12 ครั้ง
3. Bird Dog
ช่วยฝึกความมั่นคงของกระดูกสันหลังและการทรงตัว
- วิธีทำ: อยู่ในท่าคลานสี่ขา (มือและเข่ายันพื้น) รักษาระดับหลังให้ตรงขนานกับพื้น ไม่แอ่นหรือโก่ง จากนั้นค่อยๆ ยกแขนขวาเหยียดไปด้านหน้า พร้อมกับยกขาซ้ายเหยียดไปด้านหลัง ให้ลำตัวนิ่งที่สุด
- ข้อควรระวัง: ลำตัวต้องนิ่ง ไม่ส่ายไปมา สะโพกไม่เอียง
- เป้าหมาย: ทำ 10 ครั้งต่อข้าง
4. Bridge
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก้น (Gluteus) และหลังส่วนล่าง พร้อมกับช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า
- วิธีทำ: นอนหงาย ชันเข่า เท้าวางราบกับพื้น เกร็งก้นแล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้นจนลำตัวเป็นเส้นตรงจากไหล่ถึงเข่า
- ข้อควรระวัง: ไม่ยกสะโพกสูงเกินไปจนหลังแอ่น
- เป้าหมาย: ทำ 10–12 ครั้ง
ควรฝึกนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตามลำดับดังนี้
- 2–3 สัปดาห์แรก = ความรู้สึกเมื่อยล้าที่หลังเริ่มลดลง
- 4–6 สัปดาห์ = รู้สึกว่าหลังมีความมั่นคงขึ้น ทรงตัวได้ดีขึ้น
- 8 สัปดาห์ขึ้นไป = การใช้งานในชีวิตจริงดีขึ้นอย่างชัดเจน สามารถเดินหรือยืนนานๆ ได้โดย
ไม่มีอาการปวดหรือล้า
สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "คุมท่าทางให้ถูกต้อง + ทำอย่างสม่ำเสมอ" มากกว่าการทำจำนวนครั้งเยอะๆ หรือทำท่าที่ยากเกินไป
เมื่อไหร่ควรเข้ารับการปรึกษาและทำกายภาพบำบัด
คุณควรเข้ารับการตรวจประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทันที หากมีอาการดังนี้
- มีอาการปวดหลังเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน
- มีอาการปวดร้าวลงขา หรือมีอาการชา
- มีอาการปวดมากตอนลุกขึ้นจากเตียงในตอนเช้า
- มีอาการเจ็บหลังเวลาไอหรือจาม
- สังเกตเห็นว่าท่าทางเปลี่ยนไป เช่น หลังเอียง ตัวเบี้ยว หรือหลังแอ่นผิดปกติ
- ลองฝึกท่าบริหารเองแล้วมีอาการปวดเพิ่มขึ้น
เพราะอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงปัญหากล้ามเนื้อไม่สมดุลอย่างรุนแรง หมอนรองกระดูกเริ่มเสื่อม หรือข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปรับโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล
การฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาและป้องกันอาการปวดหลังเรื้อรัง เพราะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับกระดูกสันหลัง ลดแรงกดทับ ลดภาระงานของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง และช่วยฟื้นฟูท่าทางให้กลับมาเป็นปกติ
เมื่อกล้ามเนื้อแกนกลางกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้องและแข็งแรง อาการปวดเรื้อรังจะค่อยๆ ลดลง และช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้ในระยะยาว
หากคุณต้องการฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางเพื่อลดอาการปวดหลังอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีบริการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง วิเคราะห์การควบคุมการเคลื่อนไหว และออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูสำหรับผู้ที่มีปัญหาปวดหลังเรื้อรังโดยเฉพาะ
ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista
“หลังที่มั่นคง เริ่มต้นจากกล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรง”