ท่านั่งที่ถูกต้องสำหรับคนทำงานออฟฟิศ ลดอาการปวดหลังและคอ

ท่านั่งที่ถูกต้องสำหรับคนทำงานออฟฟิศ ลดอาการปวดหลังและคอ

ใครที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละ 6–8 ชั่วโมง อาจจะคุ้นเคยกับความรู้สึก “ตึงๆ ที่คอ ปวดบ่า หรือปวดหลัง” จนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงาน แต่ในมุมมองของนักกายภาพบำบัด นั่นคือ “สัญญาณเตือนของความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและข้อต่อ” ที่กำลังสะสมและรอวันแสดงอาการที่รุนแรงขึ้น

อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเก้าอี้ไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เรานั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้องซ้ำๆ กันทุกวัน จนร่างกายต้อง “ปรับตัวไปในทางที่ผิด” ส่งผลให้กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานหนักเกินไป ในขณะที่กล้ามเนื้อบางมัดกลับอ่อนแรงลง และท้ายที่สุดก็กลายเป็นกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมเต็มรูปแบบ

    ทำไม “การนั่ง” ถึงทำให้ปวดหลังและคอ

    แม้ว่าการนั่งจะดูเหมือนว่าไม่ได้ออกแรงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายต้องใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มในการช่วยพยุงร่างกายให้คงอยู่ในท่านั่งได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง และกล้ามเนื้อรอบสะบัก หากกล้ามเนื้อเหล่านี้ไม่แข็งแรงพอ ภาระและแรงกดทั้งหมดจะถูกส่งผ่านไปยังโครงสร้างกระดูกสันหลังโดยตรง

    เมื่อคุณนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวกลศาสตร์ดังนี้

    • เชิงกรานเกิดการเอียงไปข้างหลัง (Posterior Pelvic Tilt) ซึ่งมักเกิดจากการนั่งหลังค่อม ทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวที่ควรจะโค้งไปข้างหน้าเล็กน้อยกลับแบนลง ส่งผลให้เพิ่มแรงกดดันที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวอย่างมาก
    • เกิดภาวะไหล่ห่อและคอยื่น (Forward Head & Rounded Shoulder) ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและบ่าต้องเกร็งตัวตลอดเวลาเพื่อดึงรั้งศีรษะที่มีน้ำหนักหลายกิโลกรัมไว้
    • การนั่งหลังงอ (Lumbar Flexion Posture) เป็นเวลานาน จะลดการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหลัง ทำให้เกิดความเมื่อยล้า การสะสมของเสีย และเกิดเป็นอาการปวดตึงในที่สุด
    • ข้อสะโพกไม่ได้ขยับเป็นเวลานานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการงอสะโพก (Hip Flexors) เกิดการตึงรั้ง และอาจส่งแรงดึงย้อนกลับขึ้นมาที่บริเวณเอวจนทำให้เกิดอาการปวดหลังได้

    ในระยะยาว อาการปวดในลักษณะนี้จะกลายเป็น “อาการปวดเรื้อรัง” ที่แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนเก้าอี้ราคาแพง หรือไปนวดบ่อยแค่ไหน อาการก็มักจะกลับมาเป็นซ้ำอยู่ดี

        ท่านั่งที่ถูกต้องตามหลักกายภาพบำบัด

        การนั่งที่ดีคือการนั่งที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวโค้งตามธรรมชาติ (S-curve) และเปิดโอกาสให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนช่วยกันพยุงร่างกายอย่างสมดุล ไม่หนักไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง

        1. เริ่มต้นจากฐานราก นั่นคือเชิงกรานและสะโพก

        • ควรนั่งให้สะโพกชิดพนักพิงมากที่สุด เพื่อให้หลังส่วนล่างได้รับการรองรับ และหลังไม่งอ
        • ระดับของสะโพกควรสูงกว่าระดับของหัวเข่าเล็กน้อย (ประมาณ 3–5 ซม.) ซึ่งจะช่วยให้เชิงกรานเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อยและหลังส่วนล่างโค้งได้อย่างเป็นธรรมชาติ
        • หากเบาะนั่งลึกเกินไปจนพิงพนักไม่ได้ ควรหาหมอนรองหลัง (Lumbar Roll) เล็กๆ มาพยุงบริเวณส่วนโค้งของเอว

        2. กระดูกสันหลังอยู่ในแนว “S-Curve” ตามธรรมชาติ

        • หลังส่วนล่างควรมีการเว้าไปข้างหน้าเล็กน้อย (Lumbar Lordosis)
        • หลังช่วงอกควรอยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย ไม่โก่งหรือค่อมจนเกินไป
        • คอควรตั้งตรงในแนวเดียวกับลำตัว ไม่ก้มหรือยื่นไปข้างหน้า

        3. แขนและไหล่อยู่ในแนวสมดุล

        • ไหล่ควรอยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย ไม่ยกเกร็งขึ้นไปหาหู
        • ข้อศอกควรงอประมาณ 90 องศา และอยู่ใกล้กับลำตัว
        • ควรมีที่วางแขนในระดับความสูงที่พอดี เพื่อให้ไหล่และบ่าไม่ต้องเกร็งเพื่อรับน้ำหนักแขนไว้ตลอดเวลา
        • เมาส์และคีย์บอร์ดควรอยู่ใกล้ตัวในระยะที่แขนวางได้สบาย โดยที่ไม่ต้องเหยียดแขนออกไปข้างหน้าไกลเกินไป

        4. ระดับของจอคอมพิวเตอร์และสายตา

        • ขอบบนของหน้าจอควรอยู่ในระดับสายตาพอดี หรือต่ำกว่าเล็กน้อย
        • ระยะห่างจากดวงตาควรอยู่ที่ประมาณ 50–70 ซม. (ประมาณหนึ่งช่วงแขน)
        • หากคุณใช้โน้ตบุ๊กเป็นหลัก ควรยกหน้าจอขึ้นด้วยแท่นวาง และใช้คีย์บอร์ดกับเมาส์แยกต่างหาก เพื่อป้องกันการก้มคอ

        5. เท้าต้องวางราบเต็มพื้น

        • หากเท้าวางไม่ถึงพื้น (เนื่องจากเก้าอี้สูงไปหรือคุณตัวเล็ก) ควรหาที่พักเท้ามารองรับ
        • พยายามอย่าไขว่ห้างเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เชิงกรานเอียงและกระดูกสันหลังบิดเบี้ยวได้

        ปรับพฤติกรรมระหว่างวันให้ร่างกายได้พัก

        แม้นั่งในท่าที่ถูกต้องแล้ว แต่การ “อยู่นิ่งในท่าเดิมนานเกินไป” ก็ยังคงทำให้กล้ามเนื้อเกิดความเมื่อยล้าอยู่ดี

        นักกายภาพบำบัดจึงมักแนะนำให้ใช้หลักการขยับร่างกายบ่อยๆ เช่น

        นั่งทำงาน 30-45 นาที สลับกับการลุกขึ้นยืนหรือขยับเปลี่ยนท่าทางอย่างน้อย 30 วินาที

        ท่ายืดเหยียดง่ายๆ ที่ทำได้บนโต๊ะทำงาน

        • ยืดคอด้านข้าง ค่อยๆ เอียงศีรษะไปด้านข้าง ใช้มือช่วยดึงเบาๆ จนรู้สึกตึง ค้างไว้ 20–30 วินาที
        • ท่าเปิดหน้าอก (Chest Opener) ประสานมือไว้ด้านหลัง แล้วค่อยๆ ยืดอกและเหยียดแขนไปด้านหลังเบาๆ
        • หมุนไหล่เป็นวงกลม หมุนไปข้างหน้าและข้างหลังช้าๆ 10 รอบ
        • ท่า Cat–Cow บนเก้าอี้ นั่งตัวตรง มือจับเข่า สลับกับการโก่งหลังและแอ่นหลังเบาๆ เพื่อให้กระดูกสันหลังได้มีการเคลื่อนไหว

         การทำท่าบริหารเหล่านี้เพียง 1–2 นาทีในทุกๆ ชั่วโมง จะช่วยลดแรงกดดันบนหมอนรองกระดูกและคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งค้างได้เป็นอย่างดี

        เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้พร้อม “นั่งโดยไม่ปวด”

        กล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลังและคอมีอยู่หลายมัด แต่กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) และกล้ามเนื้อรอบสะบัก (Scapular Stabilizers) สองกลุ่มนี้เปรียบเสมือน “ระบบกันสะเทือน” ของร่างกาย หากแข็งแรงก็จะช่วยลดภาระของกระดูกสันหลังได้มาก

        ท่าฝึกที่แนะนำ

        • ท่า Bridge นอนหงาย ชันเข่าขึ้น แล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น ค้างไว้ 3–5 วินาที
        • ท่า Bird Dogยู่ในท่าคลานสี่ขา แล้วเหยียดแขนขวาสลับกับขาซ้าย โดยพยายามให้ลำตัวนิ่งที่สุด ค้างไว้ 5 วินาที
        • ท่า Wall Angels ยืนพิงกำแพง ให้หลังและแขนแนบกำแพง แล้วค่อยๆ เลื่อนแขนขึ้นลงช้าๆ
        • ท่า Scapular Squeeze นั่งหรือยืนหลังตรง แล้วค่อยๆ ดึงสะบักทั้งสองข้างเข้าหากัน ค้างไว้ 5 วินาที

        การฝึกท่าเหล่านี้สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมท่าทางได้ดีขึ้นและทำให้นั่งได้นานขึ้นโดยไม่ปวดหลัง

        เก้าอี้ดีช่วยได้ แต่กล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยได้มากกว่า

        หลายคนทุ่มงบประมาณเพื่อซื้อเก้าอี้ “Ergonomic” ราคาหลักหมื่น แต่ก็ยังคงมีอาการปวดหลังเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ร่างกายของเราที่ “ไม่พร้อมที่จะนั่งนาน”

        การเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงและการยืดคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว คือทางออกที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว ถ้าร่างกายของคุณมีความสมดุลและแข็งแรง ต่อให้เป็นเก้าอี้ธรรมดา คุณก็จะยังสามารถนั่งได้สบายกว่าการพยายามพิงเก้าอี้ราคาแพงด้วยกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง 

        สัญญาณเตือนที่ไม่ควรละเลย

        • มีอาการปวดร้าวจากคอลงไปถึงแขน หรือจากหลังร้าวลงไปที่ขา
        • มีอาการชา เหน็บ หรืออ่อนแรงของแขนขา
        • มีอาการปวดมากจนรบกวนการนอนหลับ
        • มีอาการปวดเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ แม้จะพยายามพักแล้วก็ตาม

        หากมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพราะอาจมีภาวะเส้นประสาทถูกกดทับ หรือข้อต่อหลังเกิดการติดขัด ซึ่งต้องใช้เทคนิคการรักษาที่เฉพาะทางในการฟื้นฟู

        ฟื้นฟูอาการปวดหลังและคอจากออฟฟิศซินโดรม ด้วยการดูแลจากทีมผู้เชี่ยวชาญ

        ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีทีมนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์ ที่พร้อมจะตรวจประเมินระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อของคุณ วิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และจัดโปรแกรมการฟื้นฟูที่เหมาะสมกับลักษณะงานและร่างกายของคุณโดยเฉพาะ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี

        ปรึกษาและจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista

        ท่านั่งที่ถูกต้องคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพหลังที่ดีในระยะยาว เพราะ “นั่งดีในวันนี้ เท่ากับ หลังดีในวันข้างหน้า

        บริการแนะนำ

        กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

        กายภาพบำบัด

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

        รักษาข้อเข่าเสื่อม

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

        รักษาออฟฟิศซินโดรม

        รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง