นั่งทำงานทั้งวันแล้วปวดหลัง เพราะเก้าอี้หรือกล้ามเนื้อ

นั่งทำงานทั้งวันแล้วปวดหลัง เพราะเก้าอี้หรือกล้ามเนื้อ

หลายคนที่ต้องนั่งทำงานวันละ 6–8 ชั่วโมงคงคุ้นเคยกับอาการปวดหลังหรือปวดบ่ากันเป็นอย่างดี พอมีอาการปวดทีไรก็มักจะโทษว่า “เก้าอี้ไม่ดีแน่เลย!” แล้วรีบหาซื้อเก้าอี้ทำงานตัวใหม่ แต่เชื่อไหมครับว่าในฐานะนักกายภาพบำบัด เราพบว่าต้นตอของปัญหามักไม่ได้อยู่ที่เก้าอี้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงและทำงานไม่สมดุล” ของตัวเราเองต่างหาก

วันนี้เรามาลองแยกแยะให้ชัดเจนว่าอาการปวดหลังจากการนั่งนานๆ นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ ระหว่าง “อุปกรณ์” กับ “ร่างกายของเราเอง” และเราจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรให้อาการปวดหลังดีขึ้นได้จริง

    ทำไม “นั่งเฉยๆ” ถึงทำให้หลังล้า

    แม้ว่าการนั่งจะดูเหมือนว่าไม่ได้ออกแรงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว การนั่งเป็นท่าที่ร่างกายต้องใช้ “กล้ามเนื้อควบคุมท่าทาง” (Postural Muscles) ทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง กล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อบริเวณสะโพก เพื่อช่วยกันพยุงกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวตรงและมั่นคง

    เมื่อคุณนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับร่างกายเลย จะเกิดสิ่งเหล่านี้ตามมา

    • กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Lumbar Erector Spinae) ต้องทำงานหนักและหดเกร็งค้างไว้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเมื่อยล้าและขาดเลือดไปเลี้ยง
    • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ที่ควรจะช่วยพยุงกระดูกสันหลัง กลับ “หลับไป” หรือไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ เพราะเรามักจะนั่งในท่าที่สบายโดยปล่อยให้หลังค่อม
    • กล้ามเนื้อสะโพก (Hip Flexors) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) จะเกิดอาการตึงรั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้เชิงกรานถูกดึงให้เอียงไปข้างหน้ามากขึ้น
    • กระดูกสันหลังส่วนบน (Thoracic Spine) จะค่อยๆ โค้งงอมากขึ้น จนเกิดเป็นลักษณะท่าทางที่คุ้นเคยคือ ไหล่ห่อ และ คอยื่น

    ผลรวมของภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุลเหล่านี้คือ “แรงกดดันภายในหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอว” ที่เพิ่มสูงขึ้น และเมื่อเกิดการสะสมซ้ำๆ ทุกวัน ก็จะพัฒนาไปเป็นอาการปวดเรื้อรังที่เรามักเรียกกันว่า “ออฟฟิศซินโดรม” นั่นเอง

        แล้ว “เก้าอี้” มีส่วนจริงไหม?

        คำตอบคือ “มีส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

        เก้าอี้ทำงานที่ไม่พอดีกับสรีระสามารถเร่งให้เกิดปัญหาปวดหลังได้เร็วขึ้น เช่น

        • พนักพิงที่ไม่รองรับส่วนเว้าของหลังส่วนล่าง (Lumbar Curve) ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องเกร็งตัวเพื่อชดเชยตลอดเวลา
        • เบาะนั่งที่สูงหรือต่ำจนเกินไป หากสูงเกินไป เท้าจะลอยจากพื้น ทำให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังตึงและเลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากต่ำเกินไป เข่าจะชันและทำให้หลังส่วนล่างงอมากขึ้น
        • เบาะนั่งที่ลึกเกินไป ทำให้ผู้ใช้งานต้องนั่งก้มตัวเพื่อให้หลังสามารถพิงพนักได้
        • การไม่มีที่วางแขน ทำให้กล้ามเนื้อคอและบ่าต้องทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อพยุงแขนไว้ขณะใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ด

        แต่ต้องย้ำว่า แม้คุณจะเปลี่ยนไปใช้เก้าอี้ที่ดีที่สุดราคาแพงแค่ไหน ถ้าหากกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของคุณยังอ่อนแรง หรือคุณยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมตลอดทั้งวันโดยไม่ลุกขึ้นขยับเลย อาการปวดหลังก็จะยังคงกลับมาอยู่ดี

        ปวดหลังจากนั่งนานแบบนี้ “อันตรายไหม?”

        โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการปวดหลังจากการนั่งนานมักมีสาเหตุมาจากภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุล (Muscle Imbalance) หรือภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งจากการอยู่ในท่าเดิมนานๆ (Static Posture Strain) ซึ่งในระยะแรกมักไม่อันตรายร้ายแรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานและไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่ภาวะต่อไปนี้ได้

        • ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมเร็วกว่าปกติ
        • กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างเกร็งตัวจนเกิดเป็นจุดกดเจ็บ (Trigger Point) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปยังบริเวณอื่น เช่น สะโพก หรือร้าวขึ้นไปที่บ่าและคอได้
        • ภาวะการกดทับของเส้นประสาท ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา มีอาการชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย

        หากคุณมีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรง ควรรีบไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อทำการประเมินทันที

        วิธีแก้ “หลังล้า” จากการนั่งนานแบบที่ได้ผลจริง

        1. ปรับเก้าอี้และสภาพแวดล้อมการทำงานให้พอดีกับสรีระ

        • ความสูงของเก้าอี้ ควรปรับให้เท้าสามารถแตะพื้นได้เต็มฝ่าเท้า และข้อเข่างอประมาณ 90 องศา
        • พนักพิง ควรปรับให้สามารถรองรับส่วนเว้าของหลังส่วนล่างได้พอดี หรือหาหมอนเล็กๆ มาหนุน
        • ที่วางแขน ควรปรับให้อยู่ในระดับที่สูงพอให้ไหล่รู้สึกผ่อนคลาย ไม่ต้องยกไหล่เกร็ง
        • จอคอมพิวเตอร์ ขอบบนของจอควรอยู่ในระดับสายตา และอยู่ห่างจากตัวประมาณ 50–70 ซม.

        2. ลุกขึ้นขยับร่างกายทุกๆ 30–45 นาที

        ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้นั่งนิ่งๆ นานเกิน 1 ชั่วโมง การ “รีเซ็ตท่าทาง” ด้วยการลุกขึ้นยืน เดิน หรือยืดเส้นยืดสายสั้นๆ ทุก 30–45 นาที จะช่วยลดแรงกดที่หมอนรองกระดูกและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดีมาก

        3. ยืดกล้ามเนื้อหลังและคอระหว่างวัน

        • ท่ายืดคอด้านข้าง ค่อยๆ เอียงศีรษะไปด้านข้าง ใช้มือช่วยดึงเบาๆ ค้างไว้ 20–30 วินาที สลับข้าง
        • ท่าเปิดหน้าอก (Chest Opener) ประสานมือไว้ด้านหลัง แล้วค่อยๆ ยืดอกและเหยียดแขนไปด้านหลังเบาๆ
        • ท่า Cat–Cow หากมีพื้นที่ สามารถทำท่าคลานสี่ขา แล้วค่อยๆ โก่งหลังสลับกับแอ่นหลังช้าๆ 8–10 ครั้ง เพื่อให้กระดูกสันหลังได้เคลื่อนไหว

        4. เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ “ช่วยพยุงหลัง”

        กล้ามเนื้อที่ควรฝึกอย่างยิ่งคือกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) และกล้ามเนื้อรอบสะบักและหลังส่วนล่าง ตัวอย่างท่าบริหารง่ายๆ เช่น

        • ท่า Bridge นอนหงาย ชันเข่าขึ้น แล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น ค้างไว้ 3-5 วินาที
        • ท่า Bird Dog อยู่ในท่าคลานสี่ขา แล้วเหยียดแขนขวาไปข้างหน้าพร้อมกับเหยียดขาซ้ายไปข้างหลัง สลับข้าง
        • ท่า Scapular Squeeze นั่งหรือยืนหลังตรง แล้วค่อยๆ ดึงสะบักทั้งสองข้างเข้าหากัน ค้างไว้ 5 วินาที

         การฝึกท่าเหล่านี้สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายของคุณ “นั่งได้ทนขึ้นโดยไม่ปวด”

        แล้วถ้าหากปวดหลังเรื้อรังอยู่แล้วล่ะ?

        หากคุณมีอาการปวดหลังมานานกว่า 2–4 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดลามขึ้นไปที่คอและบ่า ควรเข้ารับการตรวจประเมินจากนักกายภาพบำบัด เพราะอาจมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น กล้ามเนื้อบางมัดอ่อนแรงอย่างมาก หรือข้อต่อกระดูกสันหลังเกิดการติดขัด ซึ่งต้องใช้เทคนิคการรักษาเฉพาะทาง เช่น

        • การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) เพื่อคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกหรือขยับข้อต่อที่ติดขัด
        • การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะจุด (Specific Exercise Program)
        • การฝึกการรับรู้และควบคุมท่าทาง (Postural Re-education)

        ฟื้นฟูอาการปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรมอย่างถูกวิธี

        หากคุณมีอาการปวดหลังเรื้อรังจากการนั่งทำงาน หรืออยากทราบว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนของคุณกำลังอ่อนแรงและเป็นต้นเหตุของปัญหา ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด ทีมนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมตรวจประเมินท่าทาง วิเคราะห์ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และออกแบบโปรแกรมการฟื้นฟูที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลให้กับคุณ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี

        ปรึกษาและจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista

        เปลี่ยน “การนั่งทำงานทั้งวัน” ให้เป็นวันที่หลังของคุณสบายขึ้นได้ เริ่มต้นดูแลตัวเองอย่างถูกต้องตั้งแต่วันนี้ครับ

        บริการแนะนำ

        กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

        กายภาพบำบัด

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

        รักษาข้อเข่าเสื่อม

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

        รักษาออฟฟิศซินโดรม

        รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง