
อาการปวดหลังตรงเอวเป็นหนึ่งในอาการที่หลายคนต้องเผชิญอยู่ซ้ำๆ บางครั้งอาจเริ่มจากอาการเพียงเล็กน้อย เช่น รู้สึกตึงๆ หน่วงๆ หลังจากตื่นนอน หรือหลังจากนั่งทำงานเป็นเวลานานก็รู้สึกปวดจนต้องเอามือกดนวดบริเวณเอวไว้ หลายคนเลือกที่จะ “ปล่อยไว้ เดี๋ยวก็หาย” แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการปวดหลังบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังมีปัญหาที่มากกว่าความเมื่อยล้า และหากมองข้ามไป อาการอาจค่อยๆ ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
ปวดหลังตรงเอวเกิดจากอะไรได้บ้าง?
“หลังตรงเอว” ในทางกายวิภาคจะหมายถึงบริเวณกระดูกสันหลังช่วงเอว หรือที่เรียกว่า Lumbar Spine (L1-L5) ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกายส่วนบนทั้งหมดและเป็นจุดหมุนสำคัญของการเคลื่อนไหว อาการปวดในบริเวณนี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย
1. กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบ (Muscle and Ligament Strain)
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหลังอย่างหนักหรือผิดท่า เช่น การยกของหนัก การนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการเคลื่อนไหวบิดตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการอักเสบฉีกขาดในระดับเล็กน้อยและเกิดอาการปวดได้
2. ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือเคลื่อนทับเส้นประสาท (Disc Degeneration or Herniation)
เป็นภาวะที่พบได้มากในวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกซึ่งเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกเกิดการเสื่อมสภาพหรือปลิ้นออกมาไปกดทับเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท”
3. ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมหรือโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spondylosis or Spinal Stenosis)
มักพบในผู้สูงอายุที่ใช้งานหลังมาเป็นเวลานานหรือมีความเสื่อมตามวัย ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดแรงกดทับต่อเส้นประสาทได้โดยตรง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง และอาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่ปลายเท้าร่วมด้วย
4. โรคของอวัยวะภายในช่องท้อง (Internal Organ Problems)
ในบางกรณี อาการปวดหลังตรงเอวอาจไม่ได้เกิดจากปัญหาของกล้ามเนื้อหรือกระดูกโดยตรง แต่อาจเป็นอาการแสดงที่ส่งมาจากโรคของอวัยวะภายใน เช่น โรคไต (นิ่วในไต หรือกรวยไตอักเสบ) ซึ่งมักจะมีอาการปวดที่บริเวณสีข้างค่อนไปทางด้านหลัง และมักมีอาการร่วมอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ปัสสาวะขัด มีไข้ หรือปวดร้าวไปที่ท้องน้อย
5. ภาวะความเครียดและปัจจัยทางอารมณ์
หลายคนอาจไม่ทราบว่าความเครียดที่สะสมเป็นเวลานานสามารถทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการตึงตัวและหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว และยังส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น และอาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายหลังโดยที่ไม่มีสาเหตุทางกายภาพที่ชัดเจน
ปวดหลังแบบไหนถึงอันตราย? (Red Flag Signs)
ไม่ใช่ทุกอาการปวดหลังจะอันตราย แต่หากคุณพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่ร้ายแรงได้
- อาการปวดรุนแรงต่อเนื่องและไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นเลยแม้จะพักแล้วนานเกิน 1–2 สัปดาห์
 - มีอาการปวดร้าวลงขา ร่วมกับอาการชา หรืออ่อนแรงอย่างชัดเจน หรือมีปัญหาในการเดิน ทรงตัวไม่มั่นคง
 - มีอาการปวดหลังร่วมกับการควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ เช่น กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
 - มีอาการปวดร่วมกับมีไข้สูง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมากโดยไม่ทราบสาเหตุ
 - มีอาการปวดหลังที่รุนแรงทันทีหลังจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์
 
อาการเหล่านี้คือ “สัญญาณอันตราย” ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจบ่งบอกถึงโรคที่ต้องรีบได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
วิธีดูแลตัวเองเมื่อปวดหลังตรงเอว
สิ่งที่ควรทำ
- การพักในท่าทางที่เหมาะสม หากมีอาการปวดเฉียบพลัน ควรนอนหงายแล้วงอเข่าเล็กน้อย โดยอาจวางหมอนรองใต้เข่าเพื่อช่วยลดแรงกดที่หลังส่วนล่าง
 - การประคบร้อน ในกรณีที่ปวดตึงกล้ามเนื้อแบบเรื้อรังและไม่มีอาการบวมแดง ความร้อนจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้
 - การออกกำลังกายเบาๆ เมื่ออาการปวดทุเลาลงแล้ว ควรเริ่มขยับร่างกาย เช่น การเดินช้าๆ หรือการทำท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและสะโพกเบาๆ เช่น ท่า Cat-Cow หรือท่า Pelvic Tilt
 - การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) เพื่อช่วยพยุงกระดูกสันหลังให้แข็งแรงและมั่นคงขึ้นในระยะยาว
 - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 30–60 นาที และการเลือกใช้เก้าอี้และที่นอนที่สามารถรองรับสรีระได้ดี
 
สิ่งที่ควรเลี่ยง
- การยกของหนักในท่างอหลังหรือก้มหลังโดยตรง
 - การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับตัวเลย
 - การนอนบนที่นอนที่นิ่มหรือยุบตัวมากเกินไป ซึ่งไม่สามารถรองรับแนวกระดูกสันหลังได้ดี
 - การปล่อยให้มีอาการปวดเกิดขึ้นซ้ำๆ โดยไม่เคยได้รับการตรวจประเมินเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
 
บทบาทของกายภาพบำบัดในการดูแลอาการปวดหลัง
การทำกายภาพบำบัดไม่เพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาด้วย
- ช่วยคลายจุดตึงและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อด้วยเทคนิคการรักษาด้วยมือและเครื่องมือทางกายภาพบำบัด
 - ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อหลังอย่างถูกวิธีและปลอดภัย
 - ช่วยปรับปรุงท่าทางในการนั่ง ยืน เดิน ให้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์
 - อาจมีการใช้เทคโนโลยีเสริมการรักษา เช่น เครื่องอัลตราซาวด์ หรือคลื่นไฟฟ้ากระตุ้น เพื่อช่วยเร่งกระบวนการฟื้นตัว
 
ผู้ที่เข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่องมักพบว่าอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่กลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดหลังตรงเอวซ้ำๆ และไม่มั่นใจว่าอาการของคุณเป็นปวดหลังแบบไหนถึงอันตรายหรือไม่ ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เราขอแนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจประเมินโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ
เราพร้อมช่วยประเมินและวางแผนการฟื้นฟูที่ตรงกับสาเหตุของอาการปวดหลังของคุณโดยเฉพาะ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวเข้ารับคำปรึกษาและวางแผนการรักษาได้ง่ายๆ ผ่าน Line ID: @zenista