
“ปวดเข่า” ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามได้ โดยเฉพาะหากเริ่มมีอาการปวดขณะเดิน นั่งยอง หรือนั่งพับเพียบ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าข้อเข่าของคุณกำลังเริ่มมีปัญหา อาการที่เริ่มต้นจากความรู้สึกตึงๆ หรือเจ็บเสียวๆ เล็กน้อย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจพัฒนาไปสู่ภาวะข้อเข่าเสื่อมเรื้อรัง หรือการสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แต่ยังลดทอนคุณภาพชีวิตโดยรวมอีกด้วย
ปวดเข่าคืออะไร? อาการทั่วไปที่ควรสังเกต อาการปวดเข่าอาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครงสร้างต่างๆ ภายในและรอบๆ ข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หมอนรองข้อเข่า หรือผิวข้อกระดูกอ่อนเอง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันจากการบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา หรือเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปและเรื้อรังจากการใช้งานซ้ำๆ หรือความเสื่อมตามวัย
อาการที่ควรระวังและเป็นสัญญาณว่าคุณควรใส่ใจกับข้อเข่ามากขึ้น ได้แก่
- อาการปวดเข่าขณะเคลื่อนไหว เช่น ขณะเดิน วิ่ง หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขึ้นลงบันได ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและมีการงอเหยียดซ้ำๆ
- อาการเจ็บเข่าเมื่ออยู่ในท่าทางเฉพาะ เช่น นั่งพับเพียบแล้วเจ็บเข่า ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ หรือรู้สึกปวดเมื่อต้องงอเข่าหรือเหยียดเข่าจนสุดพิสัยการเคลื่อนไหว
- รู้สึกฝืดตึง มีเสียงในข้อ หรือข้อติด โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งหรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน อาจมีเสียงกรอบแกรบหรือเสียงคลิกในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว
- ข้อเข่ามีอาการบวม แดง หรือร้อน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการอักเสบภายในข้อเข่าหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ
ปวดเข่าเวลาเดิน และนั่งพับเพียบไม่ได้ บ่งบอกอะไรได้บ้าง?
อาการปวดเข่าในลักษณะที่จำเพาะเจาะจง เช่น ปวดเวลาเดินหรือนั่งพับเพียบไม่ได้ อาจบ่งบอกถึงภาวะหรือโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่า ได้แก่
- ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่ผิวข้อกระดูกอ่อนเกิดการสึกกร่อนตามอายุหรือการใช้งานหนัก ทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรง เกิดอาการปวด บวม และข้อฝืด โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นการเคลื่อนไหวหรือลงน้ำหนัก
- หมอนรองข้อเข่าฉีกขาด (Meniscus Tear) หมอนรองข้อเข่าทำหน้าที่คล้ายโช้คอัพ การฉีกขาดมักเกิดจากแรงบิดหมุนเข่าอย่างรวดเร็วหรืออุบัติเหตุ ทำให้มีอาการเจ็บตามแนวข้อต่อด้านในหรือด้านนอก อาจมีอาการข้อล็อกหรือเหยียดงอเข่าได้ไม่สุด
- ภาวะพังผืดยึดติดในข้อเข่า (Arthrofibrosis) อาจเกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด ทำให้เกิดพังผืดหนาตัวขึ้นในข้อ ส่งผลให้ข้อเข่าติดแข็ง งอหรือเหยียดไม่ได้ หรือเคลื่อนไหวได้น้อยลงอย่างมาก
- ภาวะกระดูกอ่อนใต้ลูกสะบ้าเสื่อมหรืออักเสบ (Chondromalacia Patella หรือ Patellofemoral Pain Syndrome) มักพบในผู้ที่ต้องงอเข่าบ่อยๆ หรือนั่งพับเพียบนานๆ ทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกลูกสะบ้ากับกระดูกต้นขา ส่งผลให้มีอาการปวดบริเวณด้านหน้าเข่าหรือใต้ลูกสะบ้า
พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเร่งให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
นอกเหนือจากปัจจัยด้านอายุหรืออุบัติเหตุแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างก็สามารถส่งผลเสียและเร่งให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้
- น้ำหนักตัวที่มากเกินไป เป็นการเพิ่มภาระให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้นในทุกกิจกรรม ทำให้ผิวข้อถูกกดทับและสึกหรอเร็วขึ้น
- การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งยองๆ เป็นประจำ ท่าเหล่านี้ทำให้ข้อเข่าต้องงอพับมากเกินไปและเกิดแรงกดที่สูงต่อผิวข้อและลูกสะบ้า
- การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ทำให้กล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงข้อเข่าอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของข้อได้ดีเท่าที่ควร
- การใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าส้นสูง หรือรองเท้าที่ไม่มีส่วนรองรับแรงกระแทก ทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกระแทกจากการเดินหรือวิ่งมากขึ้น
- ประวัติการบาดเจ็บที่เข่าในอดีต แม้จะหายแล้วแต่หากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม อาจทำให้โครงสร้างข้อเข่าไม่แข็งแรงเหมือนเดิมและเสี่ยงต่อการเสื่อมได้ง่ายขึ้น
เมื่อใดควรไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด?
- อาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถเดินได้ตามปกติ หรืออาการปวดนั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและการนอนหลับอย่างมาก
- ข้อเข่ามีอาการบวม แดง ร้อน หรือมีเสียงผิดปกติ เช่น เสียงคลิกดังๆ หรือเสียงเหมือนกระดูกเสียดสีกัน
- รู้สึกว่าข้อเข่าล็อก เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่สามารถงอหรือเหยียดเข่าได้สุดพิสัยการเคลื่อนไหว
- มีอาการปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หรือปวดต่อเนื่องแม้จะพักการใช้งานข้อเข่าแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
แนวทางการรักษาและฟื้นฟูอาการปวดเข่า นักกายภาพบำบัด
จะมีบทบาทสำคัญในการประเมินหาสาเหตุของอาการปวดเข่า และวางแผนการฟื้นฟูที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบ ลดอาการปวด เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพิ่มความยืดหยุ่นและช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่า รวมถึงปรับพฤติกรรมการใช้งานข้อเข่าให้ถูกต้องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ แนวทางการรักษาทางกายภาพบำบัดอาจประกอบด้วย การออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าเพื่อให้แข็งแรงขึ้น การยืดกล้ามเนื้อที่ตึงตัว การฝึกการทรงตัวและการเดินที่ถูกต้อง การใช้เทคนิคการรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) และอาจมีการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น Ultrasound เพื่อลดการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อ หรือ TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) เพื่อช่วยลดปวด นอกจากนี้ นักกายภาพบำบัดยังให้คำแนะนำในการปรับกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับสภาพข้อเข่า หรือแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงที่เหมาะสม เช่น ผ้ายืดพยุงเข่า (Knee Support) หรือไม้เท้าในกรณีที่จำเป็น
อาการปวดเข่าเวลานั่งหรือเดิน ไม่ควรถูกปล่อยปละละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่รุนแรงและนำไปสู่ภาวะข้อเข่าเสื่อมหรือข้อเข่าติดจนเคลื่อนไหวไม่ได้ในระยะยาว หากเริ่มมีอาการ อย่ารอจนเรื้อรัง การเข้ารับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญและการฟื้นฟูอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง และการรักษาก็มักจะทำได้ง่ายกว่า หรือมีโอกาสหายได้ไวกว่าการปล่อยให้อาการเป็นหนักแล้วค่อยมาดูแล
หากคุณมีอาการปวดเข่า และอยากได้รับคำปรึกษาจากนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์ ขอเชิญเข้ารับบริการที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด
เราพร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista