
โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the Knee) เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อซึ่งทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับแรงกระแทกเกิดการเสื่อมสภาพและสึกกร่อนลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เกิดการเสียดสีกันโดยตรงระหว่างกระดูก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่า บวม ข้อเข่าฝืดตึง และเคลื่อนไหวได้ลำบาก ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ หรือมีการใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องยืนนานและยกของหนักเป็นประจำ การรักษาข้อเข่าเสื่อมที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ควรอาศัยเพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ควรใช้แนวทางแบบผสมผสาน ซึ่งรวมถึงการใช้ยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การลดน้ำหนัก และที่สำคัญคือการทำกายภาพบำบัด โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อชะลอการเสื่อมของข้อ ลดอาการปวด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ประเภทของยารักษาข้อเข่าเสื่อม
ประเภทของยารักษาข้อเข่าเสื่อมยารักษาข้อเข่าเสื่อมสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ดังนี้
ยาบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ (Symptomatic Relief Medications)
ยาในกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอาการปวดและลดการอักเสบที่เกิดขึ้น
- ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) มักถูกใช้เป็นทางเลือกแรกในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดไม่รุนแรงและไม่มีอาการอักเสบหรือบวมที่ชัดเจน
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Naproxen ใช้เมื่อมีอาการปวดในระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือเมื่อมีอาการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและในระยะเวลาสั้นที่สุดที่จำเป็น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่กระเพาะอาหารและไต
- ยากลุ่ม Selective COX-2 inhibitors เช่น Celecoxib, Etoricoxib เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่า จึงอาจเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยง
ยาฉีดเข้าข้อเข่า (Intra-articular Injections)
ในกรณีที่การใช้ยาแบบรับประทานไม่ได้ผลดีพอ แพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาเข้าข้อเข่าโดยตรง
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่รุนแรงและออกฤทธิ์เร็ว ช่วยลดอาการปวดและบวมจากภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน (Flare-up) ได้ดี แต่ผลการรักษาจะอยู่ได้เพียงระยะสั้น และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม" เป็นการฉีดสารที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำหล่อเลี้ยงข้อตามธรรมชาติเข้าไปในข้อเข่า เพื่อช่วยเพิ่มความหล่อลื่นและลดแรงกระแทกในข้อ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการข้อแห้งหรือปวดขณะเดิน แต่ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ยาเสริมที่อาจช่วยบำรุงข้อ (Symptomatic Slow-Acting Drugs for Osteoarthritis - SYSADOA)
ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ช้าและมักใช้เป็นอาหารเสริมหรือยาเสริมการรักษาหลัก
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่รุนแรงและออกฤทธิ์เร็ว ช่วยลดอาการปวดและบวมจากภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน (Flare-up) ได้ดี แต่ผลการรักษาจะอยู่ได้เพียงระยะสั้น และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม" เป็นการฉีดสารที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำหล่อเลี้ยงข้อตามธรรมชาติเข้าไปในข้อเข่า เพื่อช่วยเพิ่มความหล่อลื่นและลดแรงกระแทกในข้อ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการข้อแห้งหรือปวดขณะเดิน แต่ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
การใช้ยาอย่างเหมาะสม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
การใช้ยาอย่างเหมาะสม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรเสมอ แม้ว่ายาจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม แต่การใช้ยาทุกชนิดควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร การเพิ่มขึ้นของความดันโลหิต หรือการส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย
กายภาพบำบัดกับข้อเข่าเสื่อม
กายภาพบำบัดกับข้อเข่าเสื่อม เสริมการฟื้นฟู ไม่ใช่การรักษาที่ทับซ้อน หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อใช้ยาแล้ว ยังจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดอีกหรือไม่ คำตอบคือ จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทำกายภาพบำบัดสามารถใช้ร่วมกับการใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาซึ่งกันและกันอีกด้วย โดยยาจะช่วยควบคุมอาการปวดและการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมโปรแกรมกายภาพบำบัดได้ดีขึ้น ในขณะที่กายภาพบำบัดจะมุ่งเน้นการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาเชิงโครงสร้างและกลไก ซึ่งยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำได้
เป้าหมายของกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม
- ลดอาการปวดและอักเสบด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดและเทคนิคการรักษาด้วยมือ
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) เพื่อให้ทำหน้าที่พยุงข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อและกล้ามเนื้อรอบๆ เพื่อลดอาการข้อฝืดตึง
- ปรับปรุงท่าทางการเดินและการเคลื่อนไหวให้เหมาะสม เพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่า
- ให้ความรู้ในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำและชะลอความเสื่อมของข้อ
ตัวอย่างเทคนิคกายภาพบำบัดกับข้อเข่าเสื่อม
- การออกกำลังกายที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ (Therapeutic Exercise) เช่น การบริหารกล้ามเนื้อ Quadriceps ด้วยท่านอนเหยียดเข่า หรือการออกกำลังกายในน้ำ
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด (Physical Modalities) เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์เพื่อลดการอักเสบในชั้นลึก หรือการใช้เครื่อง TENS เพื่อลดอาการปวด
- การฝึกการเดิน (Gait Training) และการให้คำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อในกรณีที่ข้อเข่ามีความไม่มั่นคง
ทางเลือกเสริมอื่นๆ ที่ควรทำควบคู่กัน
- การลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยลดแรงกดบนข้อเข่าได้โดยตรง
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานข้อ เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ หรือการยืนและเดินเป็นเวลานานเกินไป
- การดูแลด้านอาหารและโภชนาการ ควรได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกและข้อ เช่น แคลเซียม วิตามินดี และสารต้านการอักเสบจากธรรมชาติอย่างโอเมก้า 3
การรักษาข้อเข่าเสื่อมอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวม โดยยาจะช่วยลดอาการในระยะเฉียบพลันหรือเมื่อมีอาการกำเริบ ในขณะที่กายภาพบำบัดเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูการทำงานของข้อและชะลอการเสื่อมในระยะยาว หากใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันอย่างเหมาะสม ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัด จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้งานข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ยาวนานยิ่งขึ้น
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังมีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม และต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างปลอดภัย หรือต้องการโปรแกรมฟื้นฟูข้อเข่าทางกายภาพบำบัดที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เราพร้อมให้การดูแล เรามีทีมนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์ ที่จะช่วยประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกรักษาข้อเข่าเสื่อมชลบุรี และคลินิกรักษาข้อเข่าเสื่อมเพชรบุรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองคิวล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista