สาเหตุทางการแพทย์ของข้อเข่าเสื่อม ทำไมพบได้ในวัยหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น

สาเหตุทางการแพทย์ของข้อเข่าเสื่อม ทำไมพบได้ในวัยหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น

หลายคนมักมีความเข้าใจว่า ข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรากลับพบว่าคนในวัยทำงานช่วงอายุ 20–40 ปี เริ่มมาปรึกษาด้วยอาการปวดเข่า มีเสียงดังกรอบแกรบ หรือรู้สึกเจ็บลึกๆ เวลาเดินขึ้นลงบันไดกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนเกิดความสงสัยว่า “คนอายุน้อยก็เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้จริงหรือ?”

    คำตอบคือ “เป็นได้ และมีแนวโน้มพบมากขึ้นทุกปี”

    สาเหตุของปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการใช้งานหนักเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยทางการแพทย์ที่ซ่อนอยู่หลายประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างข้อเข่าตั้งแต่อายุยังน้อย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ “กลไกที่แท้จริง” ของข้อเข่าเสื่อมในวัยหนุ่มสาว และวิธีประเมินความเสี่ยงของตนเอง

    ข้อเข่าเสื่อมคืออะไรในมุมมองทางการแพทย์

    ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ “กระดูกถูกใช้งานเยอะจนสึกหรอ” ตามความเข้าใจเดิมเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันทางการแพทย์ถือว่าเป็น โรคของทั้งระบบข้อต่อ (Whole Joint Disease) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครงสร้างหลายส่วน ได้แก่

    • กระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular Cartilage) ที่เกิดการบางตัวลง
    • เยื่อหุ้มข้อ (Synovium) ที่เกิดการอักเสบ
    • กระดูกใต้กระดูกอ่อน (Subchondral Bone) ที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
    • กล้ามเนื้อรอบข้อ ที่อ่อนแรงหรือไม่สมดุล
    • ระบบการอักเสบในร่างกาย

       เมื่อระบบเหล่านี้เสียสมดุล ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเสื่อม การอักเสบ และความเจ็บปวดตามมา

      ทำไมวัยหนุ่มสาวถึงเป็นข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น?

      นอกจากพฤติกรรมการใช้งานแล้ว ยังมี สาเหตุเชิงลึกทางการแพทย์ หลายประการที่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนี้

      1. การบาดเจ็บในอดีตที่ฟื้นตัวไม่สมบูรณ์

      วัยเรียนและวัยทำงานเป็นช่วงที่มีการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมผาดโผน และหลายครั้งการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการรักษาจนหายสนิท หรือขาดการฟื้นฟูที่ถูกต้อง เช่น

      • การฉีกขาดของเอ็นไขว้หน้า (ACL Injury)
      • การแตกของกระดูกอ่อนผิวข้อ
      • การฉีกขาดของหมอนรองกระดูกเข่า (Meniscus Tear)

      เมื่อโครงสร้างสำคัญเหล่านี้เสียสภาพไป การรับแรงกระแทกในข้อเข่าจะผิดสมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้นกว่าคนปกติถึง 5–10 ปี นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนที่เคยผ่าตัดเข่าหรือบาดเจ็บหนัก มีโอกาสเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมตั้งแต่อายุน้อย

      2. กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง โดยเฉพาะ “กล้ามเนื้อหน้าขา”

      กล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) มีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูดซับแรงกระแทกแทนข้อเข่า หากกล้ามเนื้อมัดนี้อ่อนแรงจากการนั่งทำงานทั้งวัน ขาดการออกกำลังกาย หรือพฤติกรรมเลี่ยงการใช้งานขาข้างที่เคยเจ็บ น้ำหนักและแรงกระแทกทั้งหมดจะถูกถ่ายเทลงไปที่ผิวข้อเข่าโดยตรง ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอไวขึ้น มีงานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่า ผู้ที่มีกล้ามเนื้อหน้าขาอ่อนแรง มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปเกือบ 2 เท่า

      3. น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ แม้จะไม่อ้วนมาก

      ตามหลักชีวกลศาสตร์ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงกระแทกที่ข้อเข่าถึง 3–4 เท่าในขณะที่เดินลงน้ำหนัก

      ในวิถีชีวิตของคนวัยทำงานที่มีการเคลื่อนไหวน้อย มีความเครียดสูง และพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ง่าย เมื่อนำมารวมกับการนั่งทำงานนานๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผลลัพธ์คือ แรงกระแทกเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตัวช่วยพยุงลดลง ซึ่งเร่งให้ข้อเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

        4. ภาวะอักเสบเรื้อรังในระดับต่ำ (Low-grade Inflammation)

         นี่เป็นปัจจัยที่คนรุ่นใหม่เผชิญมากขึ้น ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น

        • การพักผ่อนน้อย
        • ความเครียดสะสมสูง
        • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
        • การขาดกิจกรรมทางกาย

        ภาวะอักเสบในร่างกายเหล่านี้แม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นเจ็บป่วยทันที แต่จะส่งผลให้คุณภาพของกระดูกอ่อนลดลง เยื่อหุ้มข้อไวต่อการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อทำได้ช้าลงหลังการใช้งานหนัก จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุเงียบที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมพบได้บ่อยในวัย 20–40 ปี

        5. โครงสร้างขาผิดแนวปกติตั้งแต่กำเนิดหรือสะสมมานาน

        ลักษณะโครงสร้างบางอย่าง เช่น ขาโก่ง (Genu Varus) ขาเขยิบเข้าด้านใน (Valgus) ภาวะเท้าแบน หรือข้อเท้าเอียง จะทำให้การกระจายน้ำหนักในข้อเข่าไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้กระดูกอ่อนด้านใดด้านหนึ่งต้องรับภาระหนักกว่าปกติและเสื่อมสภาพเร็วกว่าอีกด้าน หลายคนอาจไม่ทราบว่าตนเองมีโครงสร้างที่ผิดปกติจนกระทั่งเริ่มมีอาการปวดเรื้อรัง

        6. การใช้ท่าทางซ้ำๆ ที่สร้างแรงกระแทกต่อเข่า

        เช่น การวิ่งลงส้นเท้าอย่างรุนแรง การออกกำลังกายที่เน้นการกระโดดมากเกินไป การทำท่าสควอทลึกเกินไปโดยที่กล้ามเนื้อยังควบคุมได้ไม่ดี หรืออาชีพที่ต้องนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ หรือคุกเข่าตลอดวัน ท่าทางเหล่านี้จะสร้างแรงอัดต่อโครงสร้างข้อเข่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ

        สัญญาณเริ่มต้นของโรคข้อเข่าเสื่อม อาการในคนอายุน้อย

        อาการในวัยหนุ่มสาวมักจะไม่รุนแรงเท่าผู้สูงอายุ แต่จะซ่อนความผิดปกติไว้หลายอย่างที่ควรสังเกต

        • อาการปวดลึกๆ บริเวณด้านหน้าเข่า โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได
        • มีเสียงดังกรอบแกรบ” ในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว
        • รู้สึกเจ็บเวลาเดินลงทางลาด
        • ยืนนานแล้วรู้สึกเมื่อยหรือล้าในข้อเข่า
        • มีอาการเจ็บในช่วงจังหวะเปลี่ยนท่าลุกหรือนั่ง
        • รู้สึกตึงในข้อเข่าเมื่อเริ่มออกเดิน

        หากปล่อยทิ้งไว้นาน กระดูกอ่อนจะสึกหรอเพิ่มขึ้น และอาจเริ่มมีอาการข้อบวมร่วมด้วย

        แบบประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น

        ลองตรวจสอบตัวเองดูว่าคุณเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือไม่

        • คุณเคยบาดเจ็บที่เข่ามาก่อนหรือไม่? (ถ้าเคยเจ็บหนัก มีโอกาสเสื่อมเร็วกว่าปกติ)
        • คุณปวดเข่าเวลาขึ้นบันไดหรือลุกยืนจากเก้าอี้หรือไม่? (บ่งบอกถึงกล้ามเนื้อควบคุมเข่าอ่อนแรง)
        • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 กิโลกรัม ภายใน 1–2 ปีหรือไม่? (แรงกระแทกเพิ่มเกินกว่าที่ข้อรับไหว)
        • ออกกำลังกายแล้วมักเจ็บเข่าหลังวิ่งหรือหลังสควอทหรือไม่? (อาจมีปัญหาการควบคุมข้อเข่า หรือเท้าไม่สมดุล)
        • นั่งนานแล้วรู้สึกเข่าล้าหรือตึงหรือไม่? (กล้ามเนื้อรอบเข่าเริ่มไม่แข็งแรงพอ)

        ถ้าคำตอบคือ “ใช่” หลายข้อ คุณอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้น แม้ว่าอายุจะยังไม่ถึง 40 ปีก็ตาม

        แนวทางจัดการและป้องกันไม่ให้ลุกลาม

        1. เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่า
        2. ท่าบริหารที่แนะนำ เช่น Straight Leg Raise (นอนยกขา), Mini Squat (ย่อเข่าตื้นๆ แบบพิงผนัง), และ Glute Bridge (ยกสะโพก) เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น จะช่วยลดแรงกระแทกที่กระทำต่อข้อเข่าได้โดยตรง
        3. ปรับท่าทางการออกกำลังกายและรองเท้า
        4. ผู้ที่มีภาวะเท้าแบนควรเลือกรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า สำหรับผู้ที่วิ่งลงส้นแรงควรฝึกปรับท่าวิ่งให้ลงน้ำหนักนุ่มนวลขึ้นและควบคุมเข่าให้อยู่ในแนวตรง
        5. ควบคุมน้ำหนักตัว
        6. การลดน้ำหนักลงเพียง 5–10% สามารถช่วยลดแรงกดทับที่ข้อเข่าและลดอาการปวดได้อย่างชัดเจน
        7. ประคบอุ่นเมื่อมีอาการตึง
        8. ความร้อนจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและลดอาการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
        9. ปรึกษานักกายภาพบำบัดหากมีอาการซ้ำๆ
        10. การประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แนวขา และลักษณะการลงน้ำหนัก จะช่วยหาสาเหตุเฉพาะจุดได้ เช่น เข่าเอียงจากสะโพกอ่อนแรง สะโพกหมุนเข้าทำให้เข่าบิด หรือเท้าแบนทำให้แนวเข่าผิดปกติ เพื่อวางแผนการรักษาที่ตรงจุด

        ข้อเข่าเสื่อมในวัยหนุ่มสาวเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน ไม่ใช่เพียงความเสื่อมตามอายุ การบาดเจ็บในอดีต กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง โครงสร้างขาที่ผิดรูป น้ำหนักตัว และภาวะอักเสบเรื้อรัง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคนี้พบได้มากขึ้น

        การเข้ารับการประเมินข้อเข่าและกล้ามเนื้อรอบข้ออย่างละเอียดตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการลุกลามกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต

        ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีบริการตรวจประเมินรูปแบบการเคลื่อนไหวของข้อเข่าและวิเคราะห์กล้ามเนื้อรอบขา เพื่อวางโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคลสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของเข่าเสื่อม ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี

        ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @zenista

        เริ่มดูแลเข่าตั้งแต่วันนี้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและการใช้งานที่ยาวนานในอนาคต

        บริการแนะนำ

        กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

        กายภาพบำบัด

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

        รักษาข้อเข่าเสื่อม

        คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

        รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

        รักษาออฟฟิศซินโดรม

        รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง