
ในยุคที่การทำงานส่วนใหญ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ การนั่งประชุมยาวๆ หรือการจ้องหน้าจอตลอดทั้งวันได้กลายเป็นเรื่องปกติของคนทำงาน แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมเหล่านี้อาจนำไปสู่กลุ่มอาการที่เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนวัยทำงานจำนวนมากในปัจจุบัน บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร เกิดจากอะไร มีอาการแบบไหน และเราจะมีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไรให้ได้ผลดีในระยะยาว
ออฟฟิศซินโดรมคืออะไรออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
ไม่ใช่ชื่อของโรคอย่างเป็นทางการในทางการแพทย์ แต่เป็นชื่อเรียกของกลุ่มอาการ (Syndrome) ที่เกิดจากการทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสมซ้ำๆ หรือการอยู่ในท่าทางเดิมเป็นระยะเวลานานเกินไป จนก่อให้เกิดความไม่สมดุลของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท และโครงสร้างร่างกายส่วนต่างๆ โดยมากแล้วจะพบในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีการเปลี่ยนท่าทาง หรือไม่มีการขยับร่างกายอย่างเหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานหนักและเกร็งตัวค้างอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่กล้ามเนื้อบางมัดกลับอ่อนแรงลงจากการไม่ได้ใช้งาน
สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม
การเกิดออฟฟิศซินโดรมส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากพฤติกรรมซ้ำๆ ที่ทำจนเป็นนิสัยในชีวิตประจำวันและการทำงาน เช่น
- การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่มีการลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อหลัง บ่า และคอ ต้องทำงานหนักเพื่อพยุงร่างกายในท่าเดิมตลอดเวลา
- การยกไหล่หรือเกร็งบ่าโดยไม่รู้ตัว ขณะที่กำลังจดจ่อกับการพิมพ์งาน หรือการใช้เมาส์ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและความเมื่อยล้า
- การจ้องหน้าจอในมุมที่ไม่เหมาะสม เช่น การวางจอคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปในระดับที่ต่ำเกินไป ทำให้ต้องก้มคอตลอดเวลา หรือการนั่งหลังค่อม ไหล่ห่อ เพื่อให้มองเห็นจอได้ชัดขึ้น
- การใช้โต๊ะ เก้าอี้ หรืออุปกรณ์ทำงานที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ ทำให้ร่างกายต้องอยู่ในท่าทางที่ฝืนธรรมชาติและเพิ่มภาระให้กับกล้ามเนื้อ
- การขาดการยืดเหยียดหรือเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวัน ทำให้กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่นและเกิดการสะสมของความตึงเครียด
- ความเครียดสะสมจากการทำงาน ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยเฉพาะคอ บ่า ไหล่ เกิดการเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลาแม้ในขณะพัก
อาการของออฟฟิศซินโดรม
อาการของออฟฟิศซินโดรมอาจมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบกลุ่มอาการเหล่านี้
- อาการปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ และสะบัก ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจมีลักษณะปวดตื้อๆ เมื่อยล้า หรือปวดเหมือนมีอะไรกดทับ
- อาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือไมเกรน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าที่ร้าวขึ้นไปที่ศีรษะ
- อาการชาที่ปลายนิ้ว หรือมืออ่อนแรง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกดทับเส้นประสาทบริเวณคอ บ่า หรือข้อมือ
- อาการปวดหลังช่วงบนหรือช่วงล่างแบบเรื้อรัง จากการนั่งในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน
- การปวดกล้ามเนื้อเฉพาะจุด โดยอาจคลำพบก้อนกล้ามเนื้อที่แข็งตึงและไวต่อการกด หรือที่เรียกว่า จุดกดเจ็บ (Trigger Point)
- อาการอ่อนล้าทางสายตา เคืองตา หรือแสบตา จากการใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป
- การนอนหลับไม่สนิท หรือตื่นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งเป็นผลมาจากอาการปวดเมื่อยที่รบกวนการพักผ่อน
หากปล่อยอาการเหล่านี้ทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะที่ซับซ้อนและรักษายากขึ้น เช่น ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือกลุ่มอาการพังผืดรัดเส้นเอ็นบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
วิธีเช็กตัวเองว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมหรือไม่
ลองสำรวจตัวเองด้วยแบบทดสอบง่ายๆ นี้ หากคุณตอบว่า “ใช่” มากกว่า 2 ข้อ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีความเสี่ยงหรือกำลังมีภาวะออฟฟิศซินโดรม และควรรีบประเมินร่างกายเพิ่มเติมโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักกายภาพบำบัด
- คุณมีอาการปวดหรือเมื่อยในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ เช่น คอ บ่า ไหล่ หรือหลังส่วนบนหรือไม่?
- อาการปวดนั้นแย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อคุณต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานใช่หรือไม่?
- เมื่อคุณได้ลุกขึ้นยืดตัว เดินเปลี่ยนอิริยาบถ หรือบิดตัวเล็กน้อย อาการเหล่านั้นจะรู้สึกดีขึ้นชั่วคราวใช่หรือไม่?
- ในแต่ละวัน คุณมักจะต้องนวด บีบ หรือคลึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ ด้วยตนเองอยู่บ่อยๆ เพื่อคลายอาการใช่หรือไม่?
- คุณเคยลองรับประทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อแล้วอาการดีขึ้นเพียงชั่วคราว แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นอีกใช่หรือไม่?
วิธีรักษาออฟฟิศซินโดรมแบบครบจบ
การรักษาออฟฟิศซินโดรมที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมที่ผสมผสานกัน
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม
- เปลี่ยนท่านั่งทำงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการป้องกันและรักษา
- ลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกๆ 30-60 นาที เพื่อลดการสะสมของความตึงเครียด
- หมั่นบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการอ่อนแรง เช่น กล้ามเนื้อสะบักและหลังส่วนบน
- จัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม เช่น ปรับให้จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตา และใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังและแขนได้ดี
2. การรักษาทางกายภาพบำบัด
เป็นแนวทางที่ช่วยรักษาออฟฟิศซินโดรมได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย และมุ่งเน้นการแก้ไขที่ต้นเหตุ ได้แก่
- การประเมินหาสาเหตุของปัญหาแบบเจาะจง โดยนักกายภาพบำบัด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- การใช้เทคนิคการรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว เช่น การนวดคลายจุดกดเจ็บ การขยับข้อต่อ หรือการคลายพังผืด
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น Ultrasound Therapy เพื่อลดการอักเสบในชั้นลึก หรือ Shockwave Therapy สำหรับอาการปวดเรื้อรัง
- การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล (Personalized Exercise Program) เพื่อยืดกล้ามเนื้อที่ตึงและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง
- การฝึกปรับพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง (Movement Re-education) เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
3. การใช้เทคโนโลยีช่วยในการวินิจฉัยและรักษา
ในคลินิกกายภาพบำบัดบางแห่ง เช่น Zenista Clinic มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยและรักษา เช่น
- เครื่อง PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กช่วยกระตุ้นเส้นประสาทและคลายกล้ามเนื้อในระดับลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เครื่องสแกนร่างกาย 3 มิติ (3D Body Scanner) เพื่อช่วยในการตรวจวิเคราะห์โครงสร้างและท่าทางที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำ
- โปรแกรมการฝึกออกกำลังกายแบบ Motion Tracking ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกท่าบริหารได้อย่างถูกต้องและเห็นพัฒนาการของตนเอง
ออฟฟิศซินโดรมป้องกันได้อย่างไร
- วางแผนเวลาในการพักและยืดเหยียดระหว่างการทำงานให้สม่ำเสมอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักกายภาพบำบัด เพื่อตรวจประเมินโครงสร้างร่างกายและความเสี่ยงเป็นประจำ
- ลงทุนกับอุปกรณ์การทำงาน เช่น เก้าอี้ โต๊ะ และจอคอมพิวเตอร์ ที่เหมาะสมกับสรีระของตนเอง
แม้ว่าออฟฟิศซินโดรมจะไม่ได้เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบอย่างมากทั้งต่อสมรรถภาพการทำงาน สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้ การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ และการเลือกแนวทางการรักษาที่ตรงจุด จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอาการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
หากคุณสงสัยว่าอาการปวดตึงในร่างกายของคุณคือ ออฟฟิศซินโดรม หรืออยากหาวิธีป้องกันก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น ขอเชิญเข้ารับบริการตรวจประเมินร่างกายและปรึกษาแผนการรักษาได้ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด
เราพร้อมให้การดูแลสุขภาพของคุณให้เป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และตรงจุด ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista