ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร ออฟฟิศซินโดรม อาการ ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากความเครียดจริงไหม เชื่อมโยงกาย–ใจที่ควรรู้

ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร ออฟฟิศซินโดรม อาการ ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากความเครียดจริงไหม เชื่อมโยงกาย–ใจที่ควรรู้

อาการปวดคอบ่าหลังเรื้อรัง ทั้งที่ไม่ได้ออกแรงยกของหนัก หลายคนเรียกรวมๆ ว่า “ออฟฟิศซินโดรม” และมักคิดว่ามีสาเหตุมาจาก “การนั่งนานเกินไป” เท่านั้น

แต่ในมุมมองของนักกายภาพบำบัด ความจริงแล้วออฟฟิศซินโดรมไม่ได้มีเพียงสาเหตุเดียว แต่มันคือ “การสะสมของภาระทางกาย บวกกับความเครียดทางใจ” ที่ค่อยๆ ทำให้ระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทของเราเสียสมดุลไปโดยไม่รู้ตัว

    ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไรกันแน่?

    ในเชิงกายภาพ ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากพฤติกรรมการใช้ร่างกายในท่าทางซ้ำๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานหนักเกินไป ในขณะที่กล้ามเนื้อบางมัดกลับอ่อนแรงลง โดยเฉพาะกลุ่มกล้ามเนื้อที่คอยพยุงศีรษะ ไหล่ และหลังส่วนบน

    1. การอยู่ในท่านั่งที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน
      การนั่งหลังงอ ไหล่ห่อ และคอยื่นไปข้างหน้า จะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวถูกบีบอัดอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ปวดหลังส่วนล่างได้ ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า (เช่น Upper Trapezius, Levator Scapulae) ต้องทำงานหนักเพื่อดึงรั้งศีรษะที่ยื่นไปข้างหน้า ทำให้เกิดการหดเกร็งค้างตลอดทั้งวัน จนเกิดเป็นจุดกดเจ็บ (Trigger Point) และทำให้การไหลเวียนเลือดลดลง เกิดเป็นอาการปวดเมื่อยตึงสะสม
    2. การขาดการขยับร่างกาย (Prolonged Static Posture)
      ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่นิ่งในท่าเดิมนานเกิน 45 นาที เมื่อเราอยู่นิ่งเกินไป กล้ามเนื้อจะเริ่มขาดออกซิเจนเฉพาะที่และมีการคั่งของของเสีย เซลล์กล้ามเนื้อจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนออกมาในรูปแบบของ “ความปวด” เพื่อบังคับให้เราเปลี่ยนท่าทาง
    3. ภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance)
      เมื่อเรานั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นประจำ จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล เช่น กล้ามเนื้อหน้าอกและคอด้านหน้ามักจะ “ตึงและหดสั้นเกินไป” ในขณะที่กล้ามเนื้อระหว่างสะบักและหลังส่วนล่างกลับ “อ่อนแรงและถูกยืดออก” ผลลัพธ์คือท่าทางโดยรวมที่ผิดปกติ (ไหล่ห่อ คอยื่น หลังงอ) ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงดึงและแรงกดที่ผิดธรรมชาติต่อโครงสร้างร่างกาย
    4. ระบบประสาทส่วนกลางมีความไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น (Central Sensitization)
      เมื่อเรามีอาการปวดเรื้อรังเป็นเวลานานๆ ระบบประสาทส่วนกลางและสมองอาจเกิดการจดจำความปวดนั้นไว้ ทำให้แม้ว่าสาเหตุทางกายภาพที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดในตอนแรกจะลดลงแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงตอบสนองและแปลผลสัญญาณต่างๆ ว่าเป็นความเจ็บปวดอยู่ ซึ่งจะยิ่งทำให้กลายเป็นอาการปวดเรื้อรังที่รักษาได้ยากขึ้น

          แล้ว “ความเครียด” เกี่ยวข้องยังไงกับออฟฟิศซินโดรม?

          คำตอบคือ เกี่ยวข้องมากกว่าที่เราคิดไว้มาก

          เมื่อเรามีความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) หรือระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานในภาวะ "สู้หรือหนี" (Fight or Flight) ซึ่งจะส่งผลต่อร่างกายดังนี้

          • ทำให้หัวไหล่ยกเกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
          • ทำให้รูปแบบการหายใจของเราสั้นและตื้นขึ้น
          • ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบคอ บ่า และสะบักเกิดการหดเกร็ง
          • ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งยิ่งทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ง่ายขึ้น

          พูดง่ายๆ ก็คือ ในขณะที่เราเครียด ร่างกายจะ “เตรียมพร้อมหนีภัย” อยู่ตลอดเวลา แต่ในโลกการทำงานปัจจุบัน ภัยนั้นคือ “งานที่เร่งรีบ” ไม่ใช่เสือ ทำให้ร่างกายเกิดการเกร็งค้างตลอดทั้งวันโดยไม่รู้ตัว

          มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า ผู้ที่มีภาวะความเครียดสะสม มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการออฟฟิศซินโดรมที่รุนแรงได้สูงกว่าคนทั่วไป

          ออฟฟิศซินโดรม ปัญหาที่เริ่มจาก “กล้ามเนื้อ” แต่จบที่ “ระบบทั้งตัว”

          ความปวดที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายด้วย เช่น

          • ระบบหายใจ เมื่อเราหายใจสั้นและตื้น จะทำให้เราต้องใช้กล้ามเนื้อคอและบ่ามาช่วยในการหายใจแทนกระบังลม ซึ่งยิ่งเพิ่มความตึงตัวให้กับกล้ามเนื้อเหล่านั้น
          • ระบบไหลเวียนโลหิต เมื่อกล้ามเนื้อเกร็งตัว เลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อเหนื่อยล้าและอ่อนแรงได้ง่าย
          • ระบบประสาท สมองอาจเริ่มตีความสัญญาณความปวดให้รุนแรงมากกว่าความเป็นจริง
          • อารมณ์และสมาธิ อาการปวดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหงุดหงิด เครียด และส่งผลให้สมาธิในการทำงานสั้นลง

          นี่คือเหตุผลที่นักกายภาพบำบัดมักจะบอกว่า “การรักษาออฟฟิศซินโดรมต้องดูทั้งกายและใจไปพร้อมๆ กัน”

          ออฟฟิศซินโดรมมีอาการอย่างไร

          อาการจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกลุ่มกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ

          บริเวณ อาการเด่น กล้ามเนื้อที่มักมีปัญหา
          คอ–บ่า ปวดตึงบริเวณคอและบ่า อาจมีอาการร้าวขึ้นไปที่ท้ายทอย หรือทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบกดแน่น Upper Trapezius, Levator Scapulae, Suboccipital muscles
          สะบัก–ไหล่ รู้สึกเมื่อยล้าลึกๆ บริเวณระหว่างสะบัก อาจมีอาการปวดร้าวลงไปที่แขน หรือยกแขนได้ไม่สุด Rhomboids, Serratus Anterior, Infraspinatus
          หลังล่าง มีอาการปวดตื้อๆ หรือเมื่อยบริเวณเอว โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ หรือตอนลุกขึ้นยืน Erector Spinae, Quadratus Lumborum, Multifidus
          ข้อมือ–แขน มีอาการชา หรือปวดบริเวณข้อมือและปลายแขน โดยเฉพาะเมื่อใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ด Wrist Extensor group, Pronator Teres (อาจเกี่ยวข้องกับ Carpal Tunnel Syndrome)

          นอกจากอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อแล้ว ผู้ป่วยยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น นอนไม่หลับ เหนื่อยล้าง่าย หรือรู้สึกว่าหายใจได้ไม่เต็มปอด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจผิดมัดนั่นเอง

          ป้องกันออฟฟิศซินโดรมอย่างไรให้ได้ผล

          • จัดท่านั่งให้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ โดยให้นั่งหลังตรงแต่ไม่เกร็ง จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตา และเท้าวางราบกับพื้นเต็มฝ่าเท้า
          • ขยับร่างกายทุกๆ 30–45 นาที ใช้หลักการ “Move more, sit smart” คือการลุกขึ้นยืน เดิน ยืดเส้น หรือหมุนไหล่บ่อยๆ
          • ฝึกกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลังและสะบัก เช่น ท่า Bridge, ท่า Bird Dog, ท่า Wall Slide, หรือท่า Scapular Squeeze
          • ฝึกการหายใจด้วยกระบังลม (Diaphragmatic Breathing) เพื่อลดการใช้กล้ามเนื้อคอในการช่วยหายใจ และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น
          • ลดความเครียดด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การเดินช้าๆ การฟังเพลง หรือการฝึกหายใจยาวๆ เพื่อช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติคลายตัว

          ถ้าปวดเรื้อรังแล้วควรทำอย่างไร

          หากอาการปวดของคุณไม่ดีขึ้นภายใน 2–4 สัปดาห์ หรือเริ่มมีอาการปวดร้าว ชา เหน็บ หรืออ่อนแรง ควรรีบเข้ารับการตรวจประเมินจากนักกายภาพบำบัด เพื่อวิเคราะห์หาจุดที่ทำงานผิดสมดุล และจัดโปรแกรมการฟื้นฟูที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เช่น

          • การคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกด้วยเทคนิคการรักษาด้วยมือ (Manual Therapy)
          • การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงโดยเฉพาะ
          • การฝึกควบคุมท่าทางและการหายใจอย่างถูกวิธี

          ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีแนวทางการทำกายภาพบำบัดที่มองออฟฟิศซินโดรมแบบองค์รวม เราพร้อมประเมินทั้งระบบกล้ามเนื้อ การหายใจ และภาวะความเครียดที่อาจส่งผลต่ออาการของคุณ เพื่อวางแผนการฟื้นฟูเฉพาะบุคคลให้คุณกลับมาทำงานได้อย่างสบายอีกครั้ง ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี

          ปรึกษาและจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista

          เพราะออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่แค่เรื่องของ “หลังและคอ” แต่คือการเรียนรู้ที่จะดูแลทั้ง “กายและใจ” ให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง

          บริการแนะนำ

          กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

          กายภาพบำบัด

          คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

          รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

          รักษาข้อเข่าเสื่อม

          คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

          รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

          รักษาออฟฟิศซินโดรม

          รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง