
ในยุคที่การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวันได้กลายเป็นเรื่องปกติ ออฟฟิศซินโดรมจึงเป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ และหลายคนก็เริ่มมีอาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่คำถามสำคัญคือ อาการแบบไหนที่เรายังพอทนหรือดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ และเมื่อไหร่ที่อาการเหล่านั้นกำลังส่งสัญญาณว่าคุณควรหยุดนิ่งแล้วไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด? บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ออฟฟิศซินโดรม อาการหนัก นั้นเป็นแบบไหน มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง และคุณควรทำอย่างไรต่อไปเพื่อไม่ให้ปัญหาสุขภาพบานปลาย
ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร ในเบื้องต้น ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมๆ ซ้ำๆ หรือการอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเกร็งตัวค้าง การอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น และในบางกรณีที่รุนแรงอาจลุกลามไปถึงการระคายเคืองหรือการกดทับเส้นประสาท หรือแม้แต่ส่งผลต่อโครงสร้างกระดูกสันหลังได้
ออฟฟิศซินโดรม อาการเบื้องต้นที่มักพบ
ก่อนจะไปถึงขั้น “อาการหนัก” ออฟฟิศซินโดรมมักจะเริ่มต้นด้วยอาการเบื้องต้นที่หลายคนอาจมองข้าม ดังนี้
- อาการปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ หรือหลังช่วงบน ซึ่งเป็นอาการปวดเมื่อยที่สัมพันธ์กับการทำงาน คือเป็นมากขึ้นเมื่อนั่งนานๆ และดีขึ้นเมื่อได้พัก
- ความรู้สึกเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อหลังและสะบักเมื่อต้องนั่งทำงานต่อเนื่อง
- อาจรู้สึกชาๆ ที่ปลายนิ้ว หรือรู้สึกว่ามืออ่อนแรงเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะหลังจากใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดนานๆ
- อาการปวดศีรษะแบบตื้อๆ หรือปวดร้าวมาจากบริเวณท้ายทอย ซึ่งมักเกิดจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอ
- ความรู้สึกไม่สบายตัว อึดอัด หรือต้องคอยขยับตัว บิดคอ หรือสะบัดไหล่บ่อยๆ ขณะนั่งทำงาน
อาการเหล่านี้หากได้รับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการพักผ่อนก็อาจจะทุเลาลงได้ แต่หากอาการเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเริ่มจับตาสังเกตให้ดี
5 สัญญาณว่าออฟฟิศซินโดรมเริ่มอาการหนัก
หากคุณมีอาการข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อดังต่อไปนี้ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าภาวะออฟฟิศซินโดรมของคุณเริ่มลุกลามและต้องการการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์หรือนักกายภาพบำบัด
- อาการปวดรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- ปวดมากจนไม่สามารถจดจ่อกับงานได้ หรือต้องหยุดพักจากการทำงานบ่อยๆ
- ลักษณะอาการปวดเปลี่ยนไป จากปวดเมื่อยธรรมดาเป็นปวดลึกๆ หรือปวดแปล๊บๆ เหมือนมีเข็มทิ่ม
- มีอาการปวดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในท่าทำงาน ท่าพัก หรือแม้แต่ในขณะนอนหลับ - มีอาการทางระบบประสาทที่ชัดเจน เช่น อาการชาหรืออ่อนแรง
- มีอาการชาที่ปลายนิ้ว แขน หรือมือ ข้างใดข้างหนึ่งอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
- รู้สึกว่าหยิบจับสิ่งของแล้วหลุดจากมือง่ายผิดปกติ หรือรู้สึกว่าแรงบีบมือลดลง
- รู้สึกว่ากล้ามเนื้อแขนหรือไหล่มีแรงลดลงอย่างชัดเจน เช่น ยกแขนได้ไม่สุด หรือไม่สามารถยกของที่เคยยกได้+ - อาการไม่ดีขึ้นเลยแม้จะพักหรือดูแลตนเองเบื้องต้นแล้ว
- ได้ลองนวดเบาๆ ประคบร้อน หรือพักการใช้งานแล้ว แต่อาการปวดตึงยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ดีขึ้น
- อาการปวดกลับมาเป็นซ้ำๆ และมีความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้วก็ตาม
- จำเป็นต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดเป็นประจำ แต่อาการก็ยังไม่หายขาด - มีอาการอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะอาการปวดร้าวไปยังส่วนอื่น
- อาการปวดร้าวเป็นสัญญาณที่สำคัญว่าอาจมีการกดทับหรือระคายเคืองของเส้นประสาทร่วมด้วย เช่น ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
- มีอาการปวดร้าวจากคอไปยังแขน หรือจากหลังส่วนบนลงไปยังแขนและมือ - อาการปวดรบกวนการนอนหลับหรือทำให้ตื่นกลางดึก
- มีอาการปวดมากจนทำให้นอนหลับไม่สนิท หรือต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะอาการปวดแม้จะอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายแล้ว
- อาการปวดที่รบกวนการนอนสามารถส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม อ่อนเพลียในตอนเช้า และทำให้อาการโดยรวมแย่ลงไปอีก
ทำไมถึงไม่ควรรอให้อาการหนักก่อนเข้ารับการรักษา
หลายคนมักมีความคิดว่าเดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง หรือยังทนไหวอยู่ ทำให้ปล่อยให้อาการปวดเมื่อยเรื้อรังดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอาจส่งผลเสียในระยะยาว เพราะ
- ยิ่งปล่อยไว้นาน กล้ามเนื้อจะยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น เกิดพังผืด (Fibrosis) ที่รักษายากขึ้น หรือกล้ามเนื้อบางส่วนอาจเกิดภาวะอ่อนแรงจากการไม่ใช้งาน
- มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือกลุ่มอาการพังผืดรัดเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
- อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
วิธีรักษาเมื่ออาการออฟฟิศซินโดรมเริ่มหนัก
หากคุณกำลังมีอาการหนักดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรเข้ารับการตรวจประเมินและรักษาโดยมืออาชีพ ซึ่งแนวทางการรักษาอาจรวมถึง
- การทำกายภาพบำบัดเฉพาะทาง
- การตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียดโดยนักกายภาพบำบัด เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างและหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
- การใช้เทคนิคการรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) เพื่อคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกและข้อต่อที่ติดขัด
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ทันสมัย เช่น Ultrasound, Laser Therapy, Shockwave Therapy หรือ PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) เพื่อลดปวด ลดอักเสบ และฟื้นฟูเนื้อเยื่อ
- การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ไขภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุลและปรับปรุงท่าทา
- การให้คำแนะนำเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน - การใช้เทคโนโลยีช่วยในการวินิจฉัย
- ในคลินิกกายภาพบำบัดบางแห่งอาจมีเทคโนโลยีช่วยวินิจฉัย เช่น เครื่องสแกนร่างกาย 3 มิติ เพื่อช่วยในการดูความผิดปกติของโครงสร้างและการกระจายน้ำหนักของร่างกาย
- การใช้ PMS หรือเทคโนโลยี non-invasive อื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและรักษาภาวะกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้อย่างปลอดภัย
ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และไม่ควรปล่อยให้มีอาการหนัก จนรบกวนการใช้ชีวิต หากคุณมีอาการปวด ตึง ชา หรืออ่อนแรงเรื้อรัง อย่ารอให้แย่ลง การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และป้องกันปัญหาระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า หากคุณเริ่มรู้สึกว่าอาการออฟฟิศซินโดรมของคุณอาจอาการหนักกว่าที่คิด อย่ารอจนกระทบกับการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน ขอแนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจประเมินโดยนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์โดยเร็วที่สุด
ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงอาการหนัก ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี เราพร้อมช่วยคุณรักษาอาการปวดให้ดีขึ้นอย่างปลอดภัย และให้ผลดีในระยะยาว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista