
อาการปวดเข่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงาน อาการเริ่มต้นอาจเป็นเพียงความรู้สึกตึงๆ หรือเจ็บแปลบๆ เสียวๆ เมื่อเดินหรือขึ้นลงบันได แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาการอาจค่อยๆ รุนแรงขึ้นจนถึงขั้น “เดินไม่คล่อง” หรือ “ปวดเข่าทุกครั้งที่ก้าว” ได้ ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ยังลดทอนคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ
บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่า และสำรวจว่า “การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า” ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีรักษาที่ได้รับความนิยมและมีข้อมูลทางการแพทย์สนับสนุน สามารถช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ และเหมาะสมกับใครบ้าง
สาเหตุของอาการเดินไม่คล่อง ปวดเข่า
อาการปวดเข่าสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาจะช่วยให้การวางแผนการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งสาเหตุหลักๆ ออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
- ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เกิดจากการที่กระดูกอ่อนซึ่งทำหน้าที่คลุมผิวข้อและเปรียบเสมือนเบาะรองรับแรงกระแทก ค่อยๆ สึกกร่อนและบางลงตามกาลเวลาและการใช้งาน เมื่อกระดูกอ่อนเสื่อมสภาพลง ผิวข้อจะไม่เรียบ ทำให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ไม่ราบรื่นเหมือนเดิม อาจมีเสียงดังกรอบแกรบในข้อ และเกิดการเสียดสีของกระดูกโดยตรง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและมีอาการปวดเข่าตามมา ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดมากขึ้นเวลาเดิน การยืนนานๆ หรือเมื่อลุกขึ้นยืนจากท่านั่ง
- การอักเสบของเนื้อเยื่อรอบข้อเข่า โครงสร้างรอบๆ ข้อเข่า เช่น เส้นเอ็น (Tendons) หรือถุงน้ำลดการเสียดสีรอบข้อ (Bursae) สามารถเกิดการอักเสบได้เช่นกัน ภาวะเส้นเอ็นอักเสบ (Tendinitis) หรือถุงน้ำข้ออักเสบ (Bursitis) มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดจี๊ดหรือปวดแปลบๆ อย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะเวลาเคลื่อนไหวข้อเข่าเร็วๆ หรือในท่าที่ต้องมีการยืดหรือเกร็งเส้นเอ็นนั้นๆ รวมถึงการแบกรับน้ำหนักมาก
- การบาดเจ็บของหมอนรองข้อเข่า (Meniscus Injury) หมอนรองข้อเข่าเป็นกระดูกอ่อนรูปพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ระหว่างกระดูกต้นขาและหน้าแข้ง ทำหน้าที่ช่วยกระจายแรงและเพิ่มความมั่นคงให้ข้อเข่า การบาดเจ็บต่อหมอนรองข้อเข่ามักพบได้จากการหักเข่า หมุนเข่า หรือบิดข้อเข่าผิดท่าอย่างรวดเร็ว เช่น ในระหว่างการเล่นกีฬา หรืออุบัติเหตุ ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บเฉพาะจุดที่ชัดเจน และในบางครั้งอาจรู้สึกเหมือนข้อเข่าล็อก ขยับไม่ได้ หรืองอเหยียดได้ไม่สุด
- กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอ่อนแรง (Muscle Weakness/Imbalance) กล้ามเนื้อที่อยู่รอบข้อเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) มีบทบาทสำคัญในการช่วยพยุงและเพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า หากกล้ามเนื้อเหล่านี้อ่อนแรงหรือไม่สมดุล จะไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของข้อเข่าได้ดี ทำให้เวลาเดินหรือขึ้นลงบันไดมีแรงกดภายในข้อเพิ่มมากขึ้น และเกิดอาการปวดตามมาได้ง่าย
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่าได้ เช่น น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ซึ่งจะเพิ่มภาระให้ข้อเข่าอย่างมาก การใช้งานข้อเข่าหนักเกินไปหรือในท่าทางที่ไม่เหมาะสมซ้ำๆ การออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธีหรือไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย รวมถึงโรคข้ออักเสบบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคเกาต์
ฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า คืออะไร
“การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า” (Hyaluronic Acid Injection หรือ Viscosupplementation) คือหัตถการทางการแพทย์ที่แพทย์จะฉีดสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) เข้าไปในโพรงข้อเข่าโดยตรง สาร HA นี้เป็นสารสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างและคุณสมบัติทางชีวเคมีคล้ายคลึงกับน้ำเลี้ยงข้อเข่าตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง จุดประสงค์หลักของการฉีดคือเพื่อช่วยเสริมปริมาณและคุณภาพของน้ำหล่อเลี้ยงข้อที่ลดลงหรือเสื่อมสภาพไป ทำให้การหล่อลื่นภายในข้อดีขึ้น ลดแรงเสียดสีระหว่างผิวข้อกระดูก และอาจช่วยลดการอักเสบภายในข้อได้อีกด้วย
ในข้อเข่าที่ปกติและมีสุขภาพดี น้ำเลี้ยงข้อจะมีความหนืดและความยืดหยุ่นที่เหมาะสม ทำหน้าที่สำคัญคล้ายเบาะรองรับแรงกระแทกและเป็นสารหล่อลื่น ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้อย่างนุ่มนวลและไม่เจ็บปวด แต่เมื่อเกิดภาวะข้อเข่าเสื่อม ปริมาณและคุณภาพของน้ำเลี้ยงข้อจะลดลง ทำให้ความสามารถในการปกป้องผิวข้อด้อยประสิทธิภาพลง การฉีดเสริมสาร HA จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่าให้กลับมาดีขึ้นได้
แล้วใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า
การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่ามักจะถูกพิจารณาเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง ที่อาการยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า หรือในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น การรับประทานยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ การทำกายภาพบำบัด หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดอาการปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือต้องการชะลอความจำเป็นในการผ่าตัดออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกรณีของอาการปวดเข่าหรือข้อเข่าเสื่อมที่การฉีดน้ำเลี้ยงข้อจะได้ผลดีเสมอไป เช่น ในผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อมในระยะรุนแรงมาก มีการผิดรูปของข้อเข่าอย่างชัดเจน หรือมีภาวะการอักเสบติดเชื้อในข้อเข่า แพทย์อาจต้องพิจารณาวิธีการรักษาอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น การผ่าตัด ดังนั้นการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพข้อเข่าและปัจจัยอื่นๆ อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อดีและข้อจำกัดของการฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า
- ช่วยลดอาการปวดข้อเข่าได้ดี ในผู้ป่วยหลายรายที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม การฉีดน้ำเลี้ยงข้อจะช่วยเพิ่มการหล่อลื่นและลดการเสียดสีภายในข้อ ทำให้อาการปวดลดลงอย่างชัดเจน
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการเดินและทำกิจกรรมประจำวัน เมื่ออาการปวดลดลงและข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้สะดวกมากขึ้น
- อาจช่วยชะลอความเสื่อมของข้อในบางราย โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะเริ่มต้น การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมภายในข้อเข่าอาจช่วยปกป้องผิวข้อที่ยังเหลืออยู่และชะลอการดำเนินโรคได้
- ช่วยลดการพึ่งพาการใช้ยาแก้ปวด เมื่ออาการปวดดีขึ้น ความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบก็จะลดลง ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาได้
- ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล การตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าไม่เหมือนกันในผู้ป่วยทุกราย บางรายอาจเห็นผลดีมาก ในขณะที่บางรายอาจเห็นผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกาย และปัจจัยอื่นๆ
- ผลการรักษาอาจอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าไม่ใช่การรักษาที่ให้ผลถาวร โดยทั่วไปผลการรักษาจะคงอยู่ได้ประมาณ 6 ถึง 12 เดือน หลังจากนั้นอาจจำเป็นต้องฉีดซ้ำหากอาการกลับมาอีก
ฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า ต้องทำอย่างไร และมีความเสี่ยงหรือไม่
- แพทย์จะทำการประเมินข้อเข่า ซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจมีการเอกซเรย์หรือตรวจเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการฉีด
- ก่อนการฉีด แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนัง บริเวณที่จะฉีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- จากนั้นแพทย์จะฉีดสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม) เข้าไปในโพรงข้อเข่าโดยตรง ซึ่งอาจมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ร่วมด้วยเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ
- กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน โดยทั่วไปประมาณ 15-30 นาที และหลังการฉีด ผู้ป่วยสามารถพักดูอาการสักครู่แล้วเดินทางกลับบ้านได้ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบปกติภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- อาจมีอาการบวม แดง ร้อน หรือเจ็บปวดเล็กน้อย บริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่พบได้ทั่วไปและมักเป็นอยู่ชั่วคราว โดยจะค่อยๆ ทุเลาลงภายใน 1-2 วัน
- มีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่ข้อเข่า (แต่พบได้น้อยมาก หากทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและปลอดเชื้อ)
การดูแลหลังฉีด
- ควรพักการใช้งานข้อเข่าอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง หลังการฉีด เพื่อให้สารที่ฉีดเข้าไปกระจายตัวได้ดีและลดการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักมากที่ข้อเข่า หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่าอย่างหนักในช่วง 1-2 วันแรก เช่น การวิ่ง การกระโดด หรือการยกของหนัก
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการรับประทานยา (ถ้ามี) และการมาตรวจตามนัด
- การเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ข้อเข่าและช่วยรับน้ำหนักแทนข้อ
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเข่า เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและช่วงการเคลื่อนไหว
- การฝึกการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง และการปรับเปลี่ยนกิจกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดภาระต่อข้อเข่า หลีกเลี่ยงท่าทางหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ
การทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ข้อเข่าแข็งแรง ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการกลับมามีอาการปวดเข่าซ้ำ
ปัญหา “เดินไม่คล่อง ปวดเข่า” ไม่ใช่อาการที่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเรื้อรังที่ต้องการการดูแลอย่างจริงจัง การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สามารถช่วยผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมได้ โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง ช่วยลดอาการปวด เพิ่มคุณภาพชีวิต และอาจช่วยชะลอการดำเนินโรคได้
แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและยั่งยืน ควรทำควบคู่กับการทำกายภาพบำบัด และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานข้อเข่าในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังมีปัญหา “ปวดเข่า” หรืออยากปรึกษาเรื่อง “การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า” และแนวทางการรักษาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับคุณ
ขอเชิญมารับบริการดูแลและฟื้นฟูอย่างใส่ใจที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด
เรามีทีมนักกายภาพบำบัดและบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา ประเมินอาการ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลอย่างมืออาชีพ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้ารับคำปรึกษาและวางแผนการรักษาได้ง่ายๆ ผ่าน Line ID: @zenista