
ED Shockwave หรือ Low-Intensity Extracorporeal Shockwave Therapy (Li-ESWT) เป็นการรักษาที่เน้น “การฟื้นฟูโครงสร้างหลอดเลือด” มากกว่าการแก้ไขอาการเพียงชั่วคราว ทำให้ผู้รับบริการหลายท่านเริ่มรู้สึกว่าการแข็งตัวดีขึ้นหลังจากทำการรักษา แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ตัวเครื่องมือก็คือ “การดูแลตนเองหลังทำ”
เนื่องจากการฟื้นตัวของหลอดเลือดเป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่ต้องใช้เวลา การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในช่วงนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าผลลัพธ์จะดีแค่ไหนและอยู่ได้นานเพียงใด บทความนี้ได้รวบรวมแนวปฏิบัติทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูเพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำ Shockwave Therapy
ทำไมต้องดูแลหลังทำ Shockwave?
การทำ ED Shockwave จะส่งคลื่นกระแทกเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อเพื่อหวังผลดังนี้
- การกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis)
- การซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพ (Regeneration)
- การฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาทส่วนปลาย
- การกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น
แต่กระบวนการเหล่านี้ร่างกายต้องใช้เวลาในการ “ซ่อมแซมและสร้างใหม่” หลังการทำหัตถการ ดังนั้น การดูแลหลังทำอย่างถูกวิธีจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้เต็มประสิทธิภาพ
1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวในช่วง 48 ชั่วโมง
หลังจากทำ Shockwave ร่างกายกำลังเริ่มกระบวนการซ่อมแซมหลอดเลือด กิจกรรมบางอย่างอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและลดประสิทธิภาพการรักษาได้
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงชั่วคราว
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่
- การนอนดึกหรือพักผ่อนน้อย
- การอยู่ในที่อากาศเย็นจัดเป็นเวลานานๆ
- สิ่งที่ควรทำ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเพื่อช่วยระบบหมุนเวียนเลือด
- พักผ่อนให้เต็มที่เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- การอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
2. งดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวหลังทำ 12–24 ชั่วโมง
ไม่ใช่เพราะเป็นอันตราย แต่ในช่วงนี้เนื้อเยื่อกำลังอยู่ในระยะตอบสนองต่อคลื่นกระแทก (Micro-inflammatory Response) ซึ่งเป็นกลไกปกติของการฟื้นฟู การงดใช้งานหนักชั่วคราวจะช่วยให้กระบวนการนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังจากพ้นระยะนี้ไปแล้วสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
3. เลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อหลอดเลือด แต่ในช่วง 3-5 วันแรกหลังทำ ควรเลือกประเภทให้เหมาะสม
สิ่งที่แนะนำ
- การเดินเร็ว
- การปั่นจักรยานเบาๆ
- การว่ายน้ำ
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- สิ่งที่ควรเลี่ยงชั่วคราว
- การกระโดดหรือวิ่งกระแทกแรงๆ
- การยกน้ำหนักที่หนักมากจนต้องเกร็งหน้าท้องและอุ้งเชิงกราน
- เพราะกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดบริเวณอุ้งเชิงกรานในช่วงที่กำลังฟื้นตัว
4. ปรับพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
Shockwave ช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ได้จริง แต่หากปัจจัยเสี่ยงเดิมที่ทำลายหลอดเลือดยังคงอยู่ ผลลัพธ์อาจไม่ยั่งยืน
ปัจจัยที่ควรควบคุมให้ดี ได้แก่
- ระดับน้ำตาลในเลือด (สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน)
- ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล
- ความดันโลหิต
- น้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์
- ผู้ที่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ดี มักจะพบว่าผลการรักษาอยู่ได้นานและมีประสิทธิภาพมากกว่า
5. การใช้ยาร่วมด้วยเพื่อเสริมประสิทธิภาพ
มีงานวิจัยหลายฉบับแนะนำว่า การใช้ยากลุ่ม PDE5 inhibitors ในขนาดต่ำ หรืออาหารเสริมกลุ่ม L-arginine ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควบคู่ไปกับการทำ Shockwave ในช่วงแรก อาจช่วยเสริมการไหลเวียนเลือดและทำให้การฟื้นฟูโครงสร้างหลอดเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น
ข้อแนะนำ: ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาทุกครั้ง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
6. เน้นโภชนาการที่บำรุงหลอดเลือด
เพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis) ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารที่แนะนำ
- ปลาทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3
- ผักใบเขียวและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- ธัญพืชไม่ขัดสีและถั่วต่างๆ
- น้ำมันมะกอกและโกโก้แท้ (ไม่หวาน)
- อาหารที่ควรเลี่ยง
- ของทอดและอาหารไขมันทรานส์
- อาหารที่มีน้ำตาลสูงและรสเค็มจัด
- เพราะอาหารเหล่านี้จะเพิ่มการอักเสบในหลอดเลือดและขัดขวางการฟื้นตัว
7. ความถี่และการเว้นระยะการรักษา
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติตามแผนการรักษาที่ผู้เชี่ยวชาญวางไว้
- โดยทั่วไปอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในช่วงครั้งที่ 4–6
- คอร์สมาตรฐานมักอยู่ที่ 6–12 ครั้ง (ความถี่ 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์)
- ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดมักจะเกิดขึ้นในช่วง 1–3 เดือนหลังจากจบคอร์ส
- การใจเย็นและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับปรุงโครงสร้าง
8. การดูแลเพิ่มเติม
- การแช่น้ำอุ่น ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- การนวดผ่อนคลาย สามารถนวดเบาๆ บริเวณต้นขาด้านในหรือสะโพกเพื่อลดความตึงตัว แต่ควรหลีกเลี่ยงการนวดแรงๆ บริเวณที่เพิ่งทำ Shockwave ไปทันที
9. ใครบ้างที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอาจต้องวางแผนการดูแลที่เข้มข้นกว่าปกติ เช่น
- ผู้ที่มีโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก
- ผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน
- ผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ
- ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือผ่าตัดต่อมลูกหมาก
- การดูแลในกลุ่มนี้ต้องอาศัยความร่วมมือในการปรับพฤติกรรมอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
10. สัญญาณที่บ่งบอกว่า “การฟื้นตัวเป็นไปได้ด้วยดี”
- การแข็งตัวเริ่มเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
- มีการแข็งตัวในช่วงเช้า (Morning Erection) บ่อยขึ้นหรือชัดเจนขึ้น
- ใช้เวลาในการกระตุ้นน้อยลงเพื่อให้เกิดการแข็งตัว
- ความแข็งตัวคงทนขึ้น
- อาการเหล่านี้คือสัญญาณบวกที่บ่งบอกว่าระบบหลอดเลือดของคุณกำลังฟื้นตัวและตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
ED Shockwave ไม่ใช่การรักษาที่เห็นผลปุบปับเหมือนการกินยาเฉพาะกิจ แต่เป็นหัตถการที่ “กระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง” ดังนั้น การดูแลหลังทำจึงเป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จ ทั้งการพักผ่อน การคุมอาหาร และการลดปัจจัยเสี่ยง ยิ่งคุณดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์ฟื้นฟูได้ดีเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของการรักษาก็จะยิ่งชัดเจนและอยู่กับคุณได้นานขึ้นเท่านั้น
วางแผนดูแลสุขภาพชายแบบองค์รวม ที่ Zenista Clinic
หากคุณต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศด้วย ED Shockwave พร้อมการดูแลที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีบริการประเมินหาสาเหตุ คัดกรองปัจจัยเสี่ยงทางหลอดเลือด และวางแผนการดูแลหลังทำตามหลักเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองคิวได้ที่ Line ID: @zenista
Shockwave Therapy ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟู แต่ “การดูแลตัวเองที่ดี” คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์นั้นยั่งยืน