
อาการปวดหลังตรงเอวเป็นหนึ่งในอาการที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยทำงานหรือเป็นผู้สูงอายุ อาการอาจเริ่มต้นจากความรู้สึกเมื่อยล้าเพียงเล็กน้อย หรืออาจมีอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่ภาวะที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หลายคนมักมองข้ามอาการนี้เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงหาย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการปวดหลังตรงเอวอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายกำลังบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญกับเรา หากอาการเกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อาจกลายเป็นภาวะปวดเรื้อรังหรือเป็นสัญญาณของโรคที่ซับซ้อนในอนาคตได้
อาการปวดหลังตรงเอวคืออะไร? หลังตรงเอวในทางกายวิภาคจะหมายถึง บริเวณกระดูกสันหลังช่วงเอว หรือที่เรียกว่า Lumbar Spine (L1-L5) ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกายส่วนบนทั้งหมด และเป็นจุดหมุนสำคัญของการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางต่างๆ เช่น การก้ม การเงย หรือการบิดตัว อาการปวดในบริเวณนี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของตัวกระดูกสันหลังเอง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกสันหลัง
อาการที่มักพบบ่อย ได้แก่
- อาการปวดเฉพาะจุดบริเวณหลังช่วงเอว อาจปวดตื้อๆ หรือปวดแปล๊บๆ
- อาการปวดร้าวลงสะโพกหรือขา หรืออาจมีความรู้สึกชาร่วมด้วย
- อาการปวดสัมพันธ์กับท่าทาง เช่น ปวดมากขึ้นเวลายืน เดิน หรือเปลี่ยนท่าทาง
- อาการปวดหลังในตอนเช้าหลังตื่นนอน แต่เมื่อได้เคลื่อนไหวร่างกายไปสักพักแล้วอาการค่อยๆ ดีขึ้น
สาเหตุของอาการปวดหลังตรงเอว
- กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นอักเสบ (Muscle Strain/Ligament Sprain) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหลังอย่างหนักหรือผิดท่า เช่น การยกของหนัก การนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการเคลื่อนไหวบิดตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการอักเสบฉีกขาดในระดับเล็กน้อยและเกิดอาการปวดได้
- ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือเคลื่อนทับเส้นประสาท (Disc Degeneration/Herniation) ในกรณีของหมอนรองกระดูกเสื่อม มักเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือจากการใช้งานหนักเป็นเวลานาน ทำให้หมอนรองกระดูกสูญเสียความยืดหยุ่นและบางลง ส่วนในกรณีหมอนรองกระดูกเคลื่อน เนื้อเยื่อคล้ายเจลลี่ที่อยู่ตรงกลางอาจปลิ้นออกมาไปกดทับเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
- ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spondylolisthesis/Spinal Stenosis) มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมตามวัย ภาวะเหล่านี้สามารถทำให้เกิดแรงกดทับต่อเส้นประสาทได้โดยตรง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง ร่วมกับอาการชาหรืออ่อนแรงที่ปลายเท้าได้
- โรคไต หรือปัญหาจากอวัยวะภายในช่องท้อง ในบางกรณี อาการปวดหลังตรงเอวอาจไม่ได้เกิดจากปัญหาของกล้ามเนื้อหรือกระดูกโดยตรง แต่อาจเป็นอาการแสดงที่ส่งมาจากโรคของอวัยวะภายใน เช่น โรคไต (นิ่วในไต หรือกรวยไตอักเสบ) ซึ่งมักจะมีอาการปวดที่บริเวณสีข้างค่อนไปทางด้านหลัง และมักมีอาการร่วมอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ปัสสาวะขัด มีไข้สูง หรือปวดร้าวไปที่ท้องน้อย
- ภาวะความเครียดและปัจจัยทางอารมณ์ ความเครียดที่สะสมเป็นเวลานานสามารถทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการตึงตัวและหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว และยังส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น และอาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายหลังโดยที่ไม่มีสาเหตุทางกายภาพที่ชัดเจน
ปวดหลังแบบไหนถึงอันตราย? (Red Flag Signs)
ไม่ใช่ทุกอาการปวดหลังจะอันตราย แต่คุณควรเฝ้าระวังและรีบไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดทันที หากมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย
- ปวดหลังร่วมกับมีอาการทางระบบประสาทที่ชัดเจน เช่น อาการชาหรืออ่อนแรงที่ขาอย่างชัดเจน ไม่สามารถกระดกข้อเท้าได้
- ปวดหลังแล้วไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจบ่งบอกถึงการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังอย่างรุนแรง
- อาการปวดหลังที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย
- ปวดหลังร่วมกับมีไข้สูง หรือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดหลังรุนแรงที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากการบาดเจ็บ เช่น การตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์
แนวทางการรักษาอาการปวดหลังตรงเอว
แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ โดยทั่วไปมีหลายทางเลือกที่สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การทำกายภาพบำบัด กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อหลังให้กลับมาแข็งแรงและทำงานได้อย่างสมดุล ช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหว และลดอาการปวดโดยไม่ต้องพึ่งยาเป็นหลัก การรักษาอาจประกอบด้วย
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นด้วยคลื่นไฟฟ้า (TENS/EMS) เพื่อลดปวดและกระตุ้นกล้ามเนื้อ การทำอัลตราซาวด์เพื่อลดการอักเสบในชั้นลึก หรือการใช้ความร้อน/ความเย็น
- การยืดเหยียดและฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะจุด โดยเน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อหลังส่วนลึก
- การให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนท่าทางและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- การใช้ยา ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs หรือยาคลายกล้ามเนื้ออาจถูกนำมาใช้ในระยะสั้นเพื่อช่วยบรรเทาอาการในระยะเฉียบพลัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการประเมินจากแพทย์
- การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Exercise) เช่น การฝึกโยคะ การเล่นพิลาทิส หรือการว่ายน้ำอย่างถูกวิธี จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการปวดหลังซ้ำได้เป็นอย่างดี
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและท่าทาง การหลีกเลี่ยงการยกของหนักในท่าที่ไม่ถูกต้อง การลุกขึ้นเปลี่ยนท่านั่งทุกๆ 30-60 นาที และการเลือกใช้ที่นอนที่มีความแน่นพอเหมาะเพื่อช่วยรองรับแนวกระดูกสันหลังได้ดีในขณะนอนหลับ
อาการปวดหลังตรงเอวอาจดูเหมือนเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือมีอาการร่วมที่น่าสงสัย ควรรีบหาสาเหตุและเข้ารับการตรวจประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาการบางอย่างอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ซับซ้อนและต้องการการดูแลที่เฉพาะด้าน การไม่ละเลยอาการปวดหลังตั้งแต่เริ่มแรก คือจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพหลังที่ดีในระยะยาว
หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หรือมีคำถามว่า ปวดหลังแบบไหนถึงอันตราย? ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เราขอเชิญให้คุณเข้ามาปรึกษาและรับการดูแลจากทีมนักกายภาพบำบัดผู้มีประสบการณ์ทั้งในเคสปวดหลังเฉียบพลันและเรื้อรัง ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวล่วงหน้าได้ที่ Line ID: @zenista