
อาการปวดหลังเป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในวัยทำงานที่ต้องนั่งนาน หรือผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมตามวัย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ปวดหลังแบบไหนถึงอันตราย และบางครั้งอาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงที่คุณไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักอาการปวดหลังแต่ละแบบ เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นและทราบถึงแนวทางการดูแลตัวเองได้อย่างปลอดภัย
ทำความเข้าใจอาการปวดหลังเบื้องต้น
โดยทั่วไป อาการปวดหลังมักมีสาเหตุมาจากการใช้งานกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูกสันหลังในชีวิตประจำวัน เช่น
- การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไปในท่าทางที่ไม่เหมาะสม
- การยกของหนักอย่างผิดท่า ทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการบาดเจ็บเฉียบพลัน
- ภาวะกล้ามเนื้ออักเสบหรือตึงตัว จากความเครียดหรือการใช้งานซ้ำๆ
- การเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลังตามอายุที่เพิ่มขึ้น
อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเป็นอาการปวดหลังที่ไม่อันตราย (Mechanical Back Pain) และมักจะค่อยๆ ดีขึ้นได้เองหรือตอบสนองต่อการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น การทำกายภาพบำบัดหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ปวดหลังแบบไหนที่ไม่อันตราย
อาการปวดหลังที่ไม่อันตรายและพบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน มักมีลักษณะดังนี้
- อาการปวดเมื่อยหลัง หลังจากที่ต้องยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่ไม่คุ้นเคย
- อาการปวดหลังเมื่อต้องนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ
- อาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลัง หลังจากออกกำลังกาย
อาการปวดหลังในลักษณะนี้มักจะสัมพันธ์กับการใช้งาน คือปวดมากขึ้นเมื่อขยับ และจะค่อยๆ ทุเลาลงภายในไม่กี่วันเมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาจร่วมกับการใช้ความร้อนประคบเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และการยืดกล้ามเนื้อเบาๆ
ปวดหลังแบบไหนถึงอันตราย? 5 สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์ (Red Flag Signs)
ต่อไปนี้คือกลุ่มอาการปวดหลังที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงกว่ากล้ามเนื้ออักเสบทั่วไป และเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
- ปวดหลังร่วมกับมีอาการทางระบบประสาท (ชา ร้าวลงขา อ่อนแรง) หากคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาร้าวลงไปที่ขา หรือรู้สึกแสบร้อนคล้ายไฟฟ้าช็อต อาจเกิดจากภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือภาวะโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายถาวรได้
- ปวดหลังอย่างรุนแรงแบบเฉียบพลันหลังได้รับอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นหลังจากการตกจากที่สูง อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการกระแทกอย่างรุนแรง หรือในบางครั้งอาจได้ยินเสียง “เป๊าะ” ที่กระดูกสันหลังก่อนที่จะมีอาการปวดรุนแรงขึ้นมาทันที อาการเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกสันหลังหักหรือเคลื่อน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจอย่างเร่งด่วน
- ปวดหลังร่วมกับมีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย อาการนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ร้ายแรงที่สุด หากคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับการไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้ หรือมีอาการชาบริเวณรอบก้นและอวัยเพศ อาจเป็นสัญญาณของกลุ่มอาการ Cauda Equina Syndrome ซึ่งเกิดจากการที่กลุ่มเส้นประสาทบริเวณปลายไขสันหลังถูกกดทับอย่างรุนแรง และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉินทันทีเพื่อป้องกันความพิการถาวร
- ปวดหลังตอนกลางคืน หรือปวดในขณะที่พักมากกว่าตอนใช้งาน โดยปกติอาการปวดหลังจากกล้ามเนื้อมักจะดีขึ้นเมื่อได้พัก แต่หากอาการปวดของคุณรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืนจนรบกวนการนอนหลับ หรือปวดมากในขณะที่นอนพักนิ่งๆ โดยไม่สัมพันธ์กับการขยับร่างกาย อาจเป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวลของภาวะที่รุนแรงกว่า เช่น เนื้องอกในกระดูกสันหลัง มะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูก หรือการติดเชื้อในกระดูกสันหลัง
- ปวดหลังร่วมกับมีอาการทางร่างกายอื่นๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ หากคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจลด หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในกระดูกสันหลัง หรือโรคมะเร็งที่ลุกลามมาที่กระดูก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ความเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงต่างๆ
อาการปวดหลังที่เป็นสัญญาณอันตรายบางชนิดอาจมีความสัมพันธ์กับโรคร้ายแรงได้ เช่น
- โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Disease)
- หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Herniated Disc)
- ภาวะกระดูกพรุนที่นำไปสู่กระดูกสันหลังหักยุบ (Osteoporotic Compression Fracture)
- โรคติดเชื้อในกระดูกสันหลัง เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง (Pott’s Disease)
- โรคมะเร็งกระดูก หรือมะเร็งจากอวัยวะอื่นที่ลุกลามมาที่กระดูก (Metastatic Cancer)
วิธีประเมินเบื้องต้นว่าอาการปวดหลังของคุณมีความน่ากังวลแค่ไหน
หากคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับปัจจัยเหล่านี้ ควรพิจารณาไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการตรวจประเมิน
- อาการปวดดำเนินต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 1-2 สัปดาห์โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเลย
- ผู้ป่วยมีประวัติเคยเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะใดๆ มาก่อน
- ผู้ป่วยเคยมีการติดเชื้อรุนแรง หรือเคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนกระดูกสันหลัง
- มีอาการอ่อนแรงของแขนขาอย่างชัดเจน รู้สึกชา หรือเจ็บแปลบเหมือนไฟฟ้าช็อต
การรักษาและแนวทางกายภาพบำบัดสำหรับอาการปวดหลังทั่วไป
สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังที่ไม่รุนแรงหรืออาการปวดหลังเรื้อรังที่ไม่มีสัญญาณอันตราย การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการและฟื้นฟูร่างกายได้อย่างมาก เช่น
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการ เช่น Shockwave Therapy, PMS (Peripheral Magnetic Stimulation), Ultrasound หรือ Laser Therapy
- การฝึกออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว (Core Muscles)
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและการปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Training)
การรักษาเหล่านี้จะช่วยลดอาการปวด ลดการอักเสบ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำได้ในระยะยาว
ดูแลหลังอย่างไรให้ปลอดภัยในระยะยาว
- รักษาท่าทางให้เหมาะสมเสมอเมื่อนั่ง ยืน หรือยกของ
- หมั่นออกกำลังกายเฉพาะจุดที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว
- หลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ หรือนั่งในท่าหลังค่อม ควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถเป็นประจำ
- พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม
- หมั่นสังเกตอาการของร่างกาย และรีบพบผู้เชี่ยวชาญหากมีสัญญาณผิดปกติ
ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เราพร้อมให้การดูแลคุณ หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดหลัง และไม่แน่ใจว่าอาการของคุณเป็นปวดหลังแบบไหนถึงอันตรายหรือไม่ เราขอแนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจประเมินอย่างละเอียดโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ
ที่ Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด เรามีทั้งโปรแกรมการตรวจประเมิน วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และฟื้นฟูอาการปวดหลังโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
สอบถามรายละเอียดหรือนัดหมายได้ที่ Line ID: @zenista