
โรคข้อเข่าเสื่อม หรือ Knee Osteoarthritis เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมากในประเทศไทย ไม่เพียงแต่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเริ่มพบได้ในคนหนุ่มสาวและวัยทำงานมากขึ้นด้วย การมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้อย่างถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถป้องกัน รักษา และจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่อาการจะลุกลามจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง
โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) เป็นภาวะความเสื่อมของข้อต่อที่เกิดจากการที่ กระดูกอ่อน ในข้อเข่ามีการสึกหรอและเสื่อมสลายลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป กระดูกอ่อนเป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเรียบและยืดหยุ่น ทำหน้าที่สำคัญในการหุ้มปลายกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งไว้ เปรียบเสมือนเบาะรองรับแรงกระแทกและช่วยให้ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่นและไม่เจ็บปวด
เมื่อกระดูกอ่อนนี้เสื่อมสภาพลง ความสามารถในการรองรับแรงกระแทกจะลดน้อยลง ผิวข้อจะขรุขระ ทำให้กระดูกเกิดการเสียดสีกันโดยตรงขณะเคลื่อนไหว ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างกระดูกงอก (Bone Spur) ออกมาเป็นหนามบริเวณขอบข้อ และอาจเกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อตามมา ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่า ข้อเข่าแข็งตึง และในระยะท้ายๆ อาจทำให้ข้อเข่าเสียรูปร่างและเคลื่อนไหวได้จำกัดอย่างมาก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้ของโรคข้อเข่าเสื่อม
สาเหตุหลักของโรคข้อเข่าเสื่อม
- อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สุด เนื่องจากเซลล์กระดูกอ่อนจะค่อยๆ เสื่อมสลายตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยพบมากในผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป
- เพศหญิง มีข้อมูลว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงในการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมสูงกว่าเพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อความแข็งแรงของกระดูกและข้อ
- น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างมากที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เพราะน้ำหนักตัวส่วนเกินทุกๆ กิโลกรัมจะเพิ่มแรงกดทับที่ส่งผ่านไปยังข้อเข่าประมาณ 4-6 เท่าขณะเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้กระดูกอ่อนต้องรับภาระหนักและสึกหรอเร็วขึ้น
- ประวัติการบาดเจ็บที่ข้อเข่าในอดีต เช่น การฉีกขาดของเส้นเอ็นไขว้หน้าหรือไขว้หลัง การแตกหรือฉีกขาดของหมอนรองข้อเข่า หรือการแตกหักของกระดูกรอบข้อเข่าจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและความมั่นคงของข้อเข่า ทำให้เกิดการเสื่อมตามมาได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา
- ปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้
- ลักษณะอาชีพ ที่ต้องมีการใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเป็นประจำ เช่น การคุกเข่า การนั่งยองๆ การยืนนานๆ หรือการยกของหนักซ้ำๆ
- การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม ทั้งการออกกำลังกายที่หนักและมีแรงกระแทกสูงเกินไป หรือในทางกลับกัน การขาดการออกกำลังกายเลยก็จะทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยพยุงข้อได้ดี
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือภาวะขาดวิตามิน D ก็อาจเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการอักเสบและความเสื่อมของข้อได้
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมที่ควรสังเกต
อาการในระยะเริ่มต้น
- อาการปวดเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหว (Mechanical Pain) เป็นอาการแรกที่พบบ่อยที่สุด โดยจะรู้สึกปวดเมื่อมีการลงน้ำหนักหรือใช้งานข้อเข่า เช่น ขณะเดิน ขึ้นลงบันได หรือหลังจากนั่งนานๆ แล้วลุกขึ้นเดินในก้าวแรกๆ อาการมักจะดีขึ้นเมื่อได้พักการใช้งาน
- อาการข้อเข่าแข็งตึง (Morning Stiffness) โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอนหรือหลังจากนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน เมื่อเริ่มขยับจะรู้สึกข้อเข่าฝืดตึง เคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัวเท่าที่ควร แต่อาการแข็งตัวนี้มักจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที หลังจากได้เริ่มขยับร่างกาย
- เสียงดังในข้อเข่า (Crepitus) อาจมีเสียงกรอบแกรบหรือเสียงดังในข้อเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรืองอเหยียดข้อเข่า ซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวข้อที่ไม่เรียบ โดยอาจจะมีหรือไม่มีอาการปวดร่วมด้วยก็ได้
อาการในระยะกลางถึงหนัก เมื่อโรคดำเนินไปเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาการต่างๆ มักจะรุนแรงขึ้น ได้แก่ อาการปวดที่มากขึ้นและเป็นนานขึ้น บางครั้งอาจปวดแม้ในขณะที่พักอยู่เฉยๆ หรือมีอาการปวดเข่าตอนกลางคืนจนรบกวนการนอนหลับ อาจมีอาการข้อเข่าบวมจากการอักเสบและการสะสมของน้ำในข้อเพิ่มขึ้น ช่วงการเคลื่อนไหวจะจำกัดมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถงอหรือเหยียดข้อเข่าได้สุดเหมือนเดิม และเมื่ออาการหนักมาก ข้อเข่าอาจเกิดการผิดรูป เช่น ขาโก่งเข้าหรือโก่งออก และมีอาการปวดอย่างรุนแรงแทบจะตลอดเวลา
ข้อเข่าเสื่อม รักษาให้หายขาดได้จริงไหม? นี่เป็นคำถามสำคัญที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สงสัย ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ความจริงคือ กระดูกอ่อนที่เสียหายหรือเสื่อมสลายไปแล้ว จะไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ดังนั้นการรักษาจึงไม่สามารถทำให้โรคหายขาดได้ แต่เป้าหมายหลักของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นสามารถทำได้และมีความสำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่
- การชะลอการเสื่อมของข้อ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการและโครงสร้างข้อแย่ลงอย่างรวดเร็ว
- การลดอาการปวดและการอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น
- การเพิ่มความยืดหยุ่นและการทำงานของข้อต่อ เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นและเจ็บปวดน้อยลง
เป้าหมายของการรักษาคือการควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รักษาการทำงานของข้อให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน และชะลอความเสื่อมของข้อเพื่อยืดระยะเวลาในการผ่าตัดออกไปให้นานที่สุด
การรักษาแบบไม่ใช้ยา (Non-pharmacological Treatment)
การออกกำลังกายเพื่อบำบัด (Therapeutic Exercise) การออกกำลังกายในน้ำ เป็นวิธีที่แนะนำอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม เพราะแรงลอยตัวของน้ำจะช่วยลดแรงกดทับที่กระทำต่อข้อเข่าได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ยังคงมีความต้านทานของน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ควรทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30-45 นาที การเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) ที่แข็งแรงจะทำหน้าที่เปรียบเสมือนโช้คอัพธรรมชาติ ช่วยรองรับและพยุงข้อเข่าได้ดี ทำให้ลดภาระที่ผิวข้อโดยตรง ท่าที่แนะนำควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น ท่า Straight leg raise, Wall sit, หรือ Step-up ซึ่งควรทำวันละ 2-3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง การยืดกล้ามเนื้อ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อรอบๆ ป้องกันการเกิดข้อยึดติด ควรทำการยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง น่อง และต้นขาด้านหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยค้างท่าละ 15-30 วินาที และทำซ้ำ 2-3 รอบ
การกายภาพบำบัด (Physiotherapy) การบำบัดด้วยความร้อน (Heat Therapy) เช่น การใช้แผ่นร้อนหรือการแช่น้ำอุ่น จะช่วยลดความแข็งตัวของข้อและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เหมาะสำหรับใช้ก่อนการออกกำลังกายประมาณ 15-20 นาที โดยเฉพาะในตอนเช้าที่มักมีอาการข้อแข็งตึง การบำบัดด้วยความเย็น (Cold Therapy) เช่น การใช้เจลเย็นหรือถุงน้ำแข็งห่อผ้า จะช่วยลดการอักเสบและอาการปวด เหมาะสำหรับใช้หลังการออกกำลังกายหรือเมื่อมีอาการข้อบวมอักเสบกำเริบ โดยประคบครั้งละประมาณ 15-20 นาที การบำบัดด้วยไฟฟ้า (TENS - Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) เป็นการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อช่วยลดความรู้สึกปวดได้อย่างปลอดภัย และสามารถใช้ได้บ่อยตามความต้องการภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ การนวดบำบัด (Therapeutic Massage) การนวดโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวรอบข้อเข่า เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และสามารถช่วยลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมน้ำหนัก การลดน้ำหนักตัวลง 1 กิโลกรัม จะช่วยลดแรงกดทับที่ข้อเข่าได้ถึง 4-6 กิโลกรัมเลยทีเดียว เป้าหมายสำคัญคือการรักษาดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (ต่ำกว่า 23-25 kg/m²) ด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อุปกรณ์เสริมสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม Knee brace หรือ support อุปกรณ์พยุงเข่าช่วยประคองข้อเข่าให้มั่นคงขึ้น และอาจช่วยลดอาการปวดระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ ได้ มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความรุนแรงของโรคและคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ รองเท้าที่เหมาะสม ควรเลือกรองเท้าที่มีส้นเตี้ยและพื้นนิ่ม มีการรองรับแรงกระแทกและส่วนโค้งของเท้าได้ดี ควรตรวจสอบและเปลี่ยนรองเท้าเมื่อส้นสึกหรือพื้นรองเท้าหมดสภาพ ไม้เท้า ควรใช้ในกรณีที่มีอาการปวดมากเพื่อช่วยลดแรงกดทับที่กระทำต่อข้อเข่า ควรใช้ไม้เท้าในมือข้างที่ตรงข้ามกับข้อเข่าข้างที่เจ็บ
การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม แม้ปัจจัยบางอย่างเช่นอายุและพันธุกรรมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงหรือชะลอการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
- การควบคุมน้ำหนัก พยายามรักษาดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่มีแรงกระแทกต่ำถึงปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่กับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและแกนกลางลำตัว
- การป้องกันการบาดเจ็บ ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันเมื่อเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยง มีการวอร์มอัพก่อนออกกำลังกายและคูลดาวน์หลังออกกำลังกายเสมอ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงที่ข้อเข่า
- การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อข้อ เช่น อาหารที่มีแคลเซียมและวิตามิน D เพื่อสุขภาพกระดูก อาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาทะเล เพื่อช่วยลดการอักเสบ และผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
การดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน
การปรับเปลี่ยนกิจกรรม
- การนั่ง ควรเลือกเก้าอี้ที่มีความสูงเหมาะสม มีพนักพิงและที่ท้าวแขน หลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ หรือนั่งยองๆ เป็นเวลานาน และควรลุกขึ้นเดินเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 30-60 นาที
- การเดิน ควรเดินเร็วในระยะทางสั้นๆ ดีกว่าเดินช้าๆ เป็นระยะทางไกลๆ ควรเลือกเดินบนพื้นราบเรียบ หลีกเลี่ยงทางลาดชัน และใส่รองเท้าที่เหมาะสม
- การทำงานบ้าน ควรใช้อุปกรณ์ที่ช่วยทุ่นแรงและลดการคุกเข่าหรือก้มตัวนานๆ ควรแบ่งงานหนักออกเป็นหลายๆ ช่วง และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
การรับประทานอาหาร ควรเพิ่มการรับประทานปลาทะเลต่างๆ ผักใบเขียว เต้าหู้ ถั่วเหลือง นม โยเกิร์ต และผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง ในขณะเดียวกันควรจำกัดอาหารทอด อาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง รวมถึงเครื่องดื่มอัดลม ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติที่รุนแรง เช่น ข้อเข่าบวมแดงร้อนจัดอย่างเฉียบพลัน มีไข้สูงร่วมกับอาการปวดข้อ (ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ) ปวดเข่ารุนแรงจนนอนไม่หลับ หรือไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้เลย หรือมีอาการขาชาหรืออ่อนแรงอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้สามารถติดตามอาการและปรับแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับระยะของโรค
โรคข้อเข่าเสื่อมแม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่ด้วยการดูแลตนเอง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการรักษาที่ถูกต้อง เราสามารถชะลอการเสื่อมของข้อ ลดอาการปวด และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและการรักษาร่วมกับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หากคุณมีอาการปวดเข่า หรือรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวไม่สะดวกเหมือนเดิม อย่ารอจนอาการรุนแรงเกินไป Zenista Clinic คลินิกกายภาพบำบัด พร้อมให้บริการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับโรคข้อเข่าเสื่อมและอาการปวดเข่าต่างๆ ท่านสามารถเข้ารับบริการได้ที่ Zenista Clinic ซึ่งเราพร้อมให้บริการทั้งที่คลินิกกายภาพบำบัดชลบุรี และคลินิกกายภาพบำบัดเพชรบุรี
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @zenista เริ่มต้นการดูแลสุขภาพข้อเข่าของคุณให้ดีขึ้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต